banner_UK

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ต่อเวลาอีกทีซิ

“เป็นงัยเพื่อน หน้าไม่รับแขกแต่เช้าเลย” ผมทักเพื่อนขณะมาถึงห้องพนักงานสอบสวน
“เซ็งว่ะ คดีประกันตัวผู้ต้องหาจะครบหกเดือนแล้ว ยังทำสำนวนไม่เสร็จเลย” เพื่อนผมตอบด้วยอารมณ์สุดบรรยาย เพราะมันหมายถึงว่า ถ้าครบ 6 เดือน แล้วยังไม่สามารถส่งสำนวนให้อัยการพร้อมตัวผู้ต้องหาได้ ก็หมดอำนาจควบคุม ในหัวคิดออกอย่างเดียว กรรมการ กรรมการ และ กรรมการ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจตั้งแต่เป็นนักเรียนแล้ว เป็นตำรวจแท้ๆ ไม่ใช่นักกีฬา เท่าที่จำได้จะมีแต่คำว่า กรรมการ เป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวสำหรับร้อยเวรที่ไม่เคยโดนตั้งกรรมการสอบสวน
“โห!!!! ตั้งหกเดือน บอกไปแล้วใครจะเชื่อวะเนี่ยว่าสำนวนยังไม่เสร็จ” ผมกล่าวแบบไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เพื่อนหน้าซีดกว่าเดิมอีก ผมเกรงว่าเพื่อนจะเสียกำลังใจก็เลยพูดให้กำลังใจเพื่อนไปว่า “เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก เด๊วกรูหาทางช่วยเพื่อนเอง” ผมมักจะปากไวอย่างนี้เสมอเวลาเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เซ็งกับชีวิตในเรื่องสำนวนเนี่ย
“จริงเหรอวะ ขอบใจมาก กูรอดตายแล้ว” เพื่อนผมมันหน้าเปลี่ยนอารมณ์ทันที แถมใจดีจะพาไปเลี้ยงเบียร์สดที่ลานเบียร์ฝั่งตรงข้ามด้วย แหม!! เห็นเพื่อนอารมณ์ดียังงี้แล้วค่อยรู้สึกดีหน่อย แต่เอผมลืมถามมันไปว่า ไอ้ที่ว่าใกล้จะครบน่ะ อีกกี่วัน
“ถ้าไม่นับวันนี้ก็สองวันเพื่อน แต่ช่างมันเถอะ กูรู้มึงช่วยกูได้ วันนี้ไปกินเบียร์กันก่อนละกัน พรุ่งนี้เดี๋ยวเอาสำนวนให้ดี ตอนนี้กูไปเวรฝากขังก่อนนะ” มันพูดเอง เออเองเลยทีนี้ กลายเป็นผมครับหน้าถอดสีเลย เหลืออีกสองวัน ขนาดซุปเปอร์แมนยังทำไม่ทัน คิดในแง่ดี ผลตรวจพิมพ์มือ รายงานกองพิสูจน์หลักฐานคงมาหมดแล้ว ก็น่าจะเหลือแค่สรุป เอาว่ะ!! ช่วยๆกันทำสองวันก็น่าจะเสร็จ ผมคิดไปเออออไปกับตัวเอง สรุปเย็นนั้น เบียร์จืดสนิท ไร้ซึ่งรสชาติ เหนื่อยเพราะปากแท้ๆเรา แต่แล้วถึงยางตายทีไร คนเรามักจะมีไอเดียดีๆหนีเอาตัวรอดได้เสมอ
“เพื่อนเลิฟ วันนี้ทำหนังสือแจ้งส่งตัวผู้ต้องหาแล้วโทรไปแจ้งนายประกันเลยนะ พรุ่งนี้เราจะส่งตัวผู้ต้องหากัน” ผมแจ้งเพื่อนโดยยังไม่ได้บอกแผน
“เฮ้ย!! ยังส่งสำนวนไม่หรอก คดีนี้ให้น้องฝึกงานทำ มันลืมส่งพิมพ์มือไปตรวจ” เพื่อนผมเริ่มเผยความหายนะมาอีกระดับนึง
“เพื่อนว่าอะไรนะ ยังไม่ได้ส่งพิมพ์มือ?” ผมเพิ่งรู้ว่าเวลาเหงื่อ 1 หยดมันไหลออกมาเวลาที่เราคิดว่าถึงที่สุดของชีวิตน่ะ เค้าเรียกว่า ยางตาย มันค่อยๆไหลย้อยลงมาจากหัวไม่รู้ว่าตรงไหนแต่มักจะไหลมาที่ขมับลงมาเรื่อยๆ ผมทำได้อย่างเดียวคือ ใจดีสู้เสือเข้าไว้
“หวังว่าเพื่อนคงไม่ได้ลืมพิมพ์มือผู้ต้องหานะ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
“บ้า!! ผู้ต้องหาประกัน ใครจะกล้าลืมพิมพ์มือ แต่เลขคดีน่ะดิหาไม่เจอ” เพื่อนผมตอบหน้าตาเฉย
“โห ตัวใครตัวมันเลยเหอะ ถ้าคดียังไม่ได้รับอีกเนี่ย” ผมเริ่มหมดความหวัง
“กูล้อเล่นน่าเพื่อน แล้วตกลงให้โทรนัดนายประกันเลยเหรอ จริงๆไม่ต้องทำหนังสือก็ได้ เพราะในใบนัดก็ครบส่งตัวพรุ่งนี้อยู่แล้ว แต่เรื่องโทรไปนัดไม่มีปัญหาเด๊วโทรเลย” เพื่อนผมตอบอย่างมั่นใจ แต่ผมเองสิ เริ่มไม่มั่นใจมันแล้ว
หลังจากนั้น การดำเนินการทางแผนลับสุดยอดสำหรับคดีเพื่อนก็ถูกผมดำเนินการอย่างลับๆ ซึ่งเรื่องนี้จะไม่สามารถแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ แม้แต่เจ้าของคดีเอง ถ้าเกิดเสียแผนล่ะก้อ ทั้งผู้ต้องหาและร้อยเวร น่าจะได้เข้าคุกด้วยกันเลยล่ะ แล้ววันรุ่งขึ้นก็มาถึง เพื่อนผมก็พานายประกันและผู้ต้องหามาหาผมตามนัด
“นายประกันใช้อะไรเป็นหลักประกันครับ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช้ตำแหน่งราชการค่ะ แต่ไม่มีปัญหาค่ะ ถ้าต้องใช้หลักทรัพย์อื่นหรือเงินสดก็พร้อมค่ะ” นายประกันตอบ
“แสดงว่าเตรียมมาพร้อมแล้วนะครับ คืองี้ครับ ผลการตรวจพิมพ์ลายนิ้วมือยังไม่มาน่ะครับ ผมคิดว่าถ้าผู้ต้องหามั่นใจไม่ได้กระทำผิดมาก่อน การที่มีผลการตรวจลายนิ้วมือทางกองทะเบียนประวัติอาชญากรมายืนยันเป็นเอกสารน่าจะเป็นผลดีกับผู้ต้องหาในส่วนนี้ นายประกันคิดว่าเห็นควรจะรอมั๊ยครับ” ผมเริ่มอธิบาย
“ดิฉันยืนยันได้เลยค่ะว่าผู้ต้องหาไม่เคยทำผิดมาก่อน และยังคิดอยู่เลยว่า ถ้าศาลท่านเมตตาผู้ต้องหาไม่เคยกระทำผิดมาก่อน อาจรอลงอาญาก็ได้ ดิฉันเห็นด้วยกับผู้หมวดค่ะ” นายประกันตอบ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ผมเลยต้องฉวยโอกาสนี้ปฏิการณ์ทันที
“คือว่า ตอนนี้ครบอำนาจตำรวจในการปล่อยชั่วคราวแล้วครับ แต่ว่าถ้าต้องรอผลพิมพ์มือ อาจจะต้องใช้เวลาซักอาทิตย์นึง ถ้าผมนำตัวผู้ต้องหาส่งศาลแล้วทางคุณไปประกันตัวที่ศาลจะสะดวกรึป่าวครับ”
“ก็ได้ค่ะ แล้วต้องไปศาลเลยรึป่าวคะ” นายประกันถาม
“ไปเลยครับ จะได้ไม่เสียเวลา ส่วนทำเรื่องประกัน เดี๋ยวหมวดเจ้าของคดีเค้าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้นะครับ พาไปที่ศาลและไปแผนกประกันตัว” ผมกล่าวอย่างดีใจสุดๆ
“ขอบคุณมากเลยค่ะ ต้องรบกวนผู้หมวดอีกแล้ว” นายประกันกล่าวอย่างเกรงใจ หลังจากนั้นทั้งร้อยเวรเจ้าของคดี ทั้งผู้ต้องหา และนายประกัน ก็พากันไปศาล โดยผมได้เตรียมใบฝากขังครั้งที่ 1 ให้เพื่อนไปเรียบร้อย แถมย้ำนักย้ำหนา ดูแลทั้งคู่ดีๆนะ แล้วก็ดูแลพี่ๆที่ทำเรื่องประกันด้วย ถ้าสำเร็จตามนี้ เพื่อนก็จะมีเวลาอีก 12 วัน แต่ถ้าไม่ ก็ตัวใครตัวมันนะ ช่วยได้เท่านั้นแหระ
แล้วเย็นนั้น ผมก็ได้กินเบียร์อีกรอบ แต่คราวนี้มีเจ้าภาพร่วมด้วยครับ เป็นนายประกันสาวนั่นเอง เป็นการขอบคุณที่เราทั้งสองช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องการพิมพ์เอกสารและเรื่องการประกันตัวที่ศาล โดยหารู้ไม่ว่า เราทำเพื่อชีวิตเราจริงๆ เฮ้อ!!! ต่อมาในวันรุ่งขึ้นผมขณะที่ผมไปถึงห้องพนักงานสอบสวน ก็เจอเพื่อนผมกำลังนั่งง่วนอยู่กับการพิมพ์เอกสารสำคัญ
“ทำไรวะเพื่อน หน้าตาแจ่มใสเชียว” ผมทักเพื่อนอย่างอารมณ์ดี
“พอดีกูได้ไอเดียจากที่เราไปฝากผู้ต้องหาประกันน่ะ ก็เลยคิดว่าน่าจะได้อีกซักฝากนึง เลยมาพิมพ์ฝาก 2 ไว้ก่อน” เพื่อนผมตอบหน้าตาเฉย
“เฮ้ย!!! คราวที่แล้วน่ะ ฟลุ๊คนะโว้ยที่ท่านให้ ปกติกูก็ยังไม่เคยทำอย่างนี้นะ” ผมตอบอย่างตกใจในความคิดเพื่อน
“ล้อเล่นน่าเพื่อน เพื่อนช่วยขนาดนี้ใครจะไปกล้าพลาดอีก นี่มันฝาก 2 ของคดีอื่น เดี๋ยวพิมพ์เสร็จไปรับผลพิมพ์มือที่ ทว.เองอ่ะ พรุ่งนี้ก็น่าจะส่งสำนวนได้แล้ว” เพื่อนผมตอบ ค่อยโล่งอกหน่อย ยังไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าเป็นคดีของเราเองจะคิดออกหรือป่าวเนี่ย เฮ้ออออ!!!


คดีสอนให้รู้ว่า ขนาดเสือยังลืมป่า หมายังลืมวัด ปลากัดยังลืมขวด แล้วทำไมตำรวจจะลืมสำนวนไม่ได้ล่ะจ๊ะ

คดีล่องหน

“ร้อยเวรทุกท่าน ใครเป็นเจ้าของคดีนาย.......................... คดีลัก ชิง ปล้น บ้าง ประชุมด่วน จับตัวได้แล้ว” ท่านรองผู้กินกับ ประกาศแจ้งข่าว น่าจะเป็นข่าวร้ายสำหรับเจ้าของคดีทุกท่าน เพราะใครที่มีคดีผู้ต้องหาคนเดียวกันนี่ ความน่าเบื่อที่สุดก็คือ การอายัดผู้ต้องหา แล้วถ้าโชคดีกว่านั้น ถ้ามีการกระทำผิดหลายท้องที่ กว่าจะได้ไปสอบสวนผู้ต้องหากันก็สนุกสนานไม่เบา ชื่อผู้ต้องหารายนี้ไม่คุ้นเลย ของเราไม่มีแน่ ก็รอดตัวไป แต่เรื่องมันกลับไม่ง่ายดังคาด เมื่อผู้เสียหายคดีลักทรัพย์ไม่รู้ตัวรายหนึ่งโทรหาผม
“หมวดคะ มีสายสืบ บก.มาพบที่บ้าน บอกจับคนร้ายที่เคยลักทรัพย์บ้านพี่ได้ และให้พี่ไปดูของกลางเพื่อขอรับคืนค่ะ” เสียงหวานๆของผู้เสียหาย สามารถละลายความรื่นเริงเปลี่ยนเป็นความเครียดของผมขึ้นมาทันที และทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผมก็มักนึกถึงเพลงๆนึงทุกครั้งเหมือนกัน “อยู่ๆก็มีเรื่องราวให้นอนไม่หลับ........” พูดอะไรก็ไม่ออกได้แต่ “เฮ้อ!!!!!”ก่อนจะตอบไปว่า
“ได้ครับ เดี๋ยวผมทำหนังสือไปขอรับของกลางให้นะครับ แล้วเดี๋ยวพี่มาช่วยมารับผมที่โรงพักไปกับพี่ด้วยได้หรือป่าวครับ” ผมบอกกึ่งขอร้อง เพราะอะไรที่สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ต้องทำทุกทาง นอกจากเงินเดือนเพียวๆซื้อทองได้ยังถึงบาทเลย แถมโดนหัก ณ ที่จ่ายสารพัด
“ตกลงค่ะ อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงพี่เข้าไปรับค่ะ” เธอตอบอย่างเมตตาผมและเข้าใจชีวิตตำรวจดีครับ เพราะจากการที่ผมได้ไปดูแลคดีนี้ เป็นบ้านหลังใหญ่โตมากผมใช้เวลาเกือบสองสามชั่วโมงในการตรวจสอบร่องรอยการงัดแงะทั่วบ้านเมื่อตอนที่บ้านเธอถูกขโมยขึ้น
แต่เมื่อเธอมาถึง ปรากฎว่าผมถูกเรียกตัวไปทำอีกคดีนึงอย่างกระทันหัน จึงได้ให้รุ่นน้องที่เป็นหมวดฝึกงานไปกับผู้เสียหายแทน โดยผมประสานไว้กับรุ่นพี่ที่เป็นสายสืบคนจับผู้ต้องหาเรียบร้อยแล้ว ก็ทราบข้อมูลมาว่า ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุน่ะมีสองคน ไปร่วมกันชี้บ้านที่เคยลักทรัพย์ แต่มีผู้ต้องหาคนนึง ถูกวิสามัญไปแล้ว และก็น่าจะเป็นคนที่ถูกวิสามัญนั่นล่ะที่เป็นคนลักทรัพย์ในคดีนี้ อีกคนที่รอดน่ะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกี่ยวข้องกับคดีลักทรัพย์นี้หรือป่าว เพราะของกลางเยอะมากและเป็นหลายสิบคดี ผมก็ภาวนาขอให้เป็นคนที่ถูกวิสามัญไปแล้วละกัน เมื่อผู้เสียหายรับของกลางเสร็จกับกลับมาที่โรงพักเพื่อบันทึกรับของกลางเข้าสำนวนแล้วคืนให้ผู้เสียหายไป
หลังจากเหตุการณ์วันดังกล่าวประมาณหนึ่งเดือน ในการประชุมกลุ่มงานสอบสวนประจำเดือนก็มีการกล่าวถึงคดีที่ผู้ต้องหารายนี้กระทำผิดหลายสิบคดี และท่านหัวหน้ากลุ่มงานก็ได้แจ้งว่า ผู้ต้องหารายนี้คดีแรกศาลชั้นต้นยกฟ้อง ทำให้เค้าร้องขอความเป็นธรรมคดีที่เหลือทุกคดี ซึ่งมีอยู่คดีหนึ่งเป็นของโรงพักเราแต่หาสำนวนและเจ้าของคดีไม่เจอ ผมนึกในใจ ใครมันช่างกล้าหมกคดีสำคัญขนาดนี้ได้เนี่ย เกิดเค้าฟ้องกลับนี่ยุ่งเลยนะเนี่ย
เรื่องราวในคดีลักทรัพย์ของผมก็น่าจะจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง ผู้เสียหายได้ทรัพย์ของกลางคืนแล้ว และคนร้ายก็ตายไปแล้ว คดีก็น่าจบสรุปสำนวนได้เลย เรื่องมันก็น่าจะจบอยู่แค่นี้ ขณะที่ผมกำลังนั่งทำรายงานการสอบสวนเพื่อปิดคดี เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อมีผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหามีเลขคดีลักทรัพย์ของผม
“อ้าว น้อง แอร์ก็เย็น ทำไมเหงื่อชุ่มเลยวะ” รุ่นพี่ที่กำลังเข้าเวรเดินผ่านมาที่โต๊ะก็ทักแกมหยอก ซึ่งผมนั่งอยู่โต๊ะแรกอยู่แล้ว ใครเดินผ่านก็ชอบมาทักหยอกผม ผมรู้ดีว่าแอร์ในห้องน่ะเย็นมาก แต่ที่เหงื่อแตกอ่ะ ไม่ใช่ร้อน แต่อาการนี้เค้าเรียกหนาวขี้ ร้อยเวรทุกคนจะเคยเป็นครับ ตอนที่ลืมฝากขังแล้วศาลปล่อยตัวผู้ต้องหาเนี่ย หรือไม่ก็เวลามีผู้เสียหายมาถามถึงความคืบหน้าของคดีที่ลืมรับเลขคดีไว้น่ะครับ อาการเดียวนั้นเลย!!!
แสดงว่าคดีที่เค้าถามหากันน่ะ คดีของเราเองเหรอเนี่ย แม่จ้าว เราพลาดได้ยังไง แล้วนี่มันฟาดเข้าไปเกือบสามเดือนแล้วที่หาตัวเจ้าของคดีไม่เจอ แถมหัวหน้าสถานีเป็นคนตามเรื่องเองเลย เราไปพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหาตอนไหน ก็รู้อยู่เต็มออกว่าคดีนี้ผู้ต้องหาเราตาย หรือว่าพวกกู้ภัยที่รับศพพิมพ์มาให้ แต่พอพิจารณาลายมือเขียนที่บันทึกประวัติผู้ต้องหา คุ้นๆนี่ลายมือน้องฝึกงานเรานี่หว่า เลยถึงบางอ้อ วันนั้นให้ไปกับผู้เสียหาย แสดงว่าเป็นฝีมือน้องเรานั่นเอง สารพัดคำถามมาเต็มสมองผมไปหมด บวกกับเรื่องราวต่างๆนาๆที่คิดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ผมทำได้ดีที่สุดอันดับแรกคือ หาดอกไม้ธูปเทียนมาไหว้พระครับ ตายแหงๆงานนี้ ผมรู้ผลกรรมดี แต่อย่างน้อยขอไหว้พระเผื่อจะได้ขึ้นสวรรค์กับเค้าบ้าง ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ๆ สามเฮือก
“เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ”
แต่แล้วไอเดียบรรเจิดก็เกิดขึ้นในหัว ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้นี่หว่าว่าเป็นคดีเราเอง โอกาสรอดยังมีแฮะ ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะพลังดิ้นตายมากขนาดนี้ ผมสามารถไปสอบปากคำผู้ต้องหาเจ้าของลายนิ้วมือเนี้ยะที่เรือนจำทันที แล้วสรุปสำนวนได้ภายในวันเดียว เสนอผู้บังคับบัญชาเซ็นต์ภายในคืนนั้น แน่นอนครับ คดีนี้หัวหน้าสถานีไม่ได้เซ็นต์แน่นอนเพราะถ้าขืนได้เซ็นต์ผมตายคาโต๊ะแกแน่ คดีที่ด่วนขนาดนี้ ระดับ สบาย 2 (สบ 2) ก้อปฏิบัติแทนได้ครับ เช้าวันรุ่งขึ้นสำนวนก็ถึงมือท่านอัยการ และก็ยื่นฟ้องภายในเวลารวดเร็วมากจากการประสานงานของผม แล้วที่เหลือก็แค่เป็นเรื่องนำเลขคดีดำกับวันที่ยื่นฟ้องมาเก็บไว้ที่ตัวเพื่อรอการเรียกถาม
และก็เป็นไปดังคาดครับ ความลับไม่มีในโลก โดยเฉพาะเลขคดีสำนวนการสอบสวน หลังจากนั้นสามวันหัวหน้าสถานีไปตรวจสอบด้วยตัวเองจนทราบว่าคดีที่กำลังหาอยู่น่ะ มีผมเป็นเจ้าของคดี จึงได้เรียกผมไปพบด้วยอารมณ์ บ่ จอย
“ทำไมคุณไม่รู้ว่าเป็นคดีของคุณ ไหนเอาสำนวนให้ผมดูซิ” หัวหน้าถามแบบเสียงขุ่นๆ
“สำนวนเลขคดีที่เท่าไหร่ท่าน เดี๋ยวผมไปค้นมาให้ครับ” มุขเดิมครับ ตีหน้าเซ่อ ตอบแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นผมก็แกล้งหายไปสิบห้านาที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ผมเคาะประตูก่อนเข้าเพื่อเรียกความมั่นใจก่อน
“เข้ามาเลย” เสียงยังขุ่นเหมือนเดิม อาการนี้ถ้าพลาดโดนขย้ำชัวร์
“ท่านครับผมขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านกังวลมานาน คือ เหตุที่ผมไม่ทราบก็เพราะว่า เดิมทีคดีนี้เป็นลักทรัพย์ไม่รู้ตัวครับ ในสมุดคุมคดีก็เลยใส่เป็นลักทรัพย์ไม่รู้ตัวตั้งแต่แรก ต่อมาจับกุมผุ้ต้องหาได้ ผมก็ไปรับของกลางคืน และอายัดตัวผู้ต้องหาไว้ สำนวนส่งอัยการไปนานแล้วครับ ผมสอบถามท่านอัยการแล้ว ได้ฟ้องต่อศาลไปแล้วครับ นี่เลขคดีดำครับ” ผมรายงานแบบไม่เปิดช่องให้หัวหน้าซักถาม ได้ผลครับ จากหน้าเครียดขุ่นเป็นรอยยิ้มขึ้นบานฉ่ำเต็มหน้าเลย
“เออ ให้มันได้ยังงี้สิ ผมนึกอยู่เหมือนกันว่า คุณไม่เคยพลาดเรื่องแบบนี้นี่หว่า” ท่านกล่าวแบบคนละอารมณ์กับขาเข้าเลย
“ขอบคุณครับท่าน และต้องขอโทษท่านด้วยครับที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายและทำให้ท่านร้อนใจ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขออนุญาตไปเข้าเวรต่อนะครับ” ผมรีบชิ่งก่อนความแตก
“เอา เอา เชิญเลย ขอบคุณมาก” ท่านตอบอย่างอารมณ์ดี
ผมเปิดประตูออกมาจากห้องท่าน มือขวากำขึ้น แล้วกระทุ้งศอกเข้าหาตัวเองเผลอร้องซะดัง “YES YES YES หนูทำได้ รอดตายแล้วเว้ย” แน่นอนครับ เย็นนั้นผมชวนน้องฝึกงานและพี่ๆน้องๆเพื่อนร่วมงานไปกินเบียร์กันโดยขอเป็นเจ้ามือเอง สร้างความงุนงงให้กับพรรคพวกว่าในโอกาสอะไร ผมก็บอกได้แค่ว่า แค่อยากกินครับ เหตุผลจริงๆอย่าไปรู้เลย


คดีนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจน้อง เดี๋ยวจะโดนฟ้องซะ

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

วันนี้เป็นเวรฝากขัง เลยได้มาทำงานแต่เช้าเพื่อเตรียมใบฝากขังและแบบพิมพ์สำรองสำหรับพวกขี้ลืม ไม่รู้ตั้งใจหรือว่าลืมจริง แต่ก็มักจะมีให้ได้เขียนใบฝากขังสำรองกันประจำ เฉพาะโรงพักเราก็ยังไม่เท่าไหร่ เหตุที่ผมเลือกลงโรงพักนี้เพราะเห็นว่าศาลอยู่ใกล้ ไปมาสะดวกดี มองแต่ข้อดี ลืมมองข้อเสียสนิทเลย เพราะไอ้ความที่อยู่ใกล้นี่แหระ บางทีเพื่อนที่อยู่โรงพักไกลๆลืมฝากขังแล้วมาไม่ทัน ต้องไปฝากแทนทุกที
แต่การไปศาลของบรรดาร้อยเวร ก็เหมือนการไปตลาดหุ้นครับ เพราะร้อยเวรแต่ละโรงพักก็จะถือโอกาสนี้เป็นการพบปะขอแลกใบสั่งที่บรรดาคนฝากไปจ่ายค่าปรับทั้งหลายฝากมา แล้วก็แลกใบขับขี่กันไปแต่ละโรงพัก ก็ถือเป็นกิจกรรมอันสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจร้อยเวรดีครับ แต่พักหลังนี่ บางทีเล่นฝากกันแต่ใบสั่ง ส่วนตังค์ค่าปรับไม่ฝากให้ออกไปก่อนนี่ ความรื่นเริงก็เลยลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ถ้าเช้าเป็นเวรฝากขัง บ่ายก็จะนั่งทำงานต่อเลย เพราะจะกลับไปนอนก็มักหลับเพลินไปถึงเช้า ลืมมาเข้าเวรหรือเข้าไม่ทัน ก็เลยนั่งทำงานต่อไป
“ขอโทษนะคะหมวด มีประกันชีวิตรึยังคะ” เสียงหวานของสาวสวยขายประกัน ทำตลาดเชิงรุกบุกมาขายตำรวจถึงโรงพัก ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามีตำรวจซื้อด้วยเหรอ เพราะบาดเจ็บมาก็เข้าโรงบาลตำรวจได้อยู่แล้ว แต่คุณเธอก็มักจะมีโปรโมชั่นใหม่ๆ มาล่อตา เอ๊ย ล่อใจอยู่เรื่อย
“ยังไม่มีครับ แต่ไม่รู้จะทำให้ใครอ่ะ ลูกเมียก็ไม่มี ไว้มีแล้วค่อยมาทำเนอะ” ผมต้องสรรหาคำตอบที่แปลกใหม่อยู่เสมอ ก็นับเป็นการฝึกสมองลองปัญหา เอ๊ย ลองปัญญาดีครับ เพราะถ้าคราวนี้เธอตอบสวนไม่ได้ คราวหน้าก็มักจะหาคำถามมาใหม่อยู่เสมอ คุณเธอทั้งหลายก็จะมาอ้อนให้ทำอยู่ซักพัก พอเห็นเราไม่ทำแน่แล้วก็ไปทีละโต๊ะล่ะครับ จนกว่าใครจะทนใครไม่ไหวก็ลุกหนีกันไป
ผมนั่งทำงานต่อเพลินจนถึงเวลาเข้าเวร แต่งชุดร้อยเวรเรียบร้อย ก็เตรียมตัวเอนหลังพักผ่อน รอฟังเหตุจนเผลอหลับไป
“เหตุ ว.40 เชิงสะพานขาลง รถเก๋งตำ จยย. คนเจ็บส่ง รพ.เรียบร้อย ครับ” พนักงานวิทยุรายงานเหตุรถชนเสียงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ นี่มันจะตีสามอยู่แล้ว ไปไหนกันมาเนี่ยถึงได้มาชนกัน
“ทราบ 30 ว.25 ที่เกิดเหตุ” ผมตอบสวนไปโดยสัญชาตญาณ ทั้งๆที่ยังงัวเงียอยู่ ผลัดดึกนี้ส่วนใหญ่จะเข้าเวรเดี่ยว ร้อยเวรมักจะวิสาสะหลบนายสลับกันเข้า เพราะคดีไม่เยอะ แต่ถ้าผลัดไหนเยอะ ก็แทบไม่ได้งีบเลย งานนี้ผู้ช่วยร้อยเวรก็ไม่มี เพราะพักนี้ไม่มีตำรวจชั้นประทวนโดนทำโทษ ตำแหน่งประจำก็มีผู้ช่วยร้อยเวรเพียงคนเดียวเลยต้องไปวิ่งงานเอกสารแทน ส่วนตำรวจสายงานอื่น ถ้าทำผิด หัวหน้าสถานีมักจะลงโทษด้วยการส่งมาเป็นผู้ช่วยร้อยเวร ฮ่า!! นี่แสดงว่าตำแหน่งร้อยเวรนี่มันเป็นตำแหน่งเหมือนโดนลงโทษไปในตัวเลยนี่นา คิดไปก็เท่านั้นว่าแล้วก็ขับรถร้อยเวรไปที่เกิดเหตุ ทั้งๆที่สะพานลอยข้ามแยกน่ะ อยู่ค่อมข้ามหัวโรงพักแท้ๆ ต้องไปกลับรถถึงสองรอบ
“หวัดดีครับหมวด มาคนเดียวเหรอครับ วันนี้” เจ้าหน้าที่กู้ภัยกล่าวทักทายอย่างคุ้นเคยเป็นกันเอง พูดถึงพวกกู้ภัยนี่ สามารถช่วยแบ่งเบาภาระร้อยเวรได้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการจัดการจราจรขณะเกิดเหตุ ช่วยคนเจ็บ ช่วยเก็บทรัพย์สินคนเจ็บ เอ๊ย!!ไม่ใช่ ช่วยป้องกันทรัพย์สินคนเจ็บไม่ให้มิจฉาชีพมาฉวยโอกาส ลักเอาไป รวมตลอดถึงช่วยยกรถจักรยานยนต์ที่เกิดเหตุขึ้นรถร้อยเวร เสียอย่างเดียวขาลงไม่ตามมายกลงให้ที่โรงพัก
“ผลัดดึกเลยเดี่ยว เดี่ยวจริงๆ เข้าคนเดียวเลยวันนี้” ผมทักทายตอบ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่กู้ภัยแบ่งกันทำงาน คนนึงช่วยโบกรถเปิดสัญญาณไฟหมุน ให้รถที่ลงจากสะพานลอยทราบเพื่อจะได้หลีกไปใช้ช่องขวา เนื่องจากจุดเกิดเหตุอยู่ช่องเดินรถซ้ายมือ ซึ่งสะพานข้ามแยกจะมีแค่สองเลน หน้าที่อีกหน้าที่หนึ่งซึ่งไม่ควรจะเป็นหน้าที่ต้องให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยจัดการก็คือ คอยโบกให้รถที่หยุดเคลื่อนที่ต่อไปไม่ให้ดู เพราะไม่ง้านจะทำให้รถติดยาว
“หมวดคับ หมวดคับ รถทะเบียนอะไรคับ” เสียงร้องถามจากรถตุ๊กตุ๊กที่ขับผ่านมาแล้วหยุดถาม ผมงงกับพวกนี้อยู่พักนึง นึกว่าเป็นพวกนักข่าวจะถามทะเบียนไปลงข่าว ที่ไหนได้ เอาไปแทงหวย ผมเคยสงสัยว่ามันถูกรางวัลกันบ้างรึป่าวเนี่ย แต่กลับมีเสียงย้อนกลับมา
“แล้วหมวดไม่เอาเลขทะเบียนไปซื้อหวยมั่งเหรอ” เสียงตุ๊กๆถาม
“ไม่รู้จะแทงทะเบียนคันไหนดี มันชนกันวันนึงเป็นสิบคัน เลือกแทงไม่ถูกเลย” ผมตอบย้อนไปว่าแล้วก็สั่งให้ออกรถไปเด๊วรถลงจากสะพานไม่เห็นจะชนเอา อีกอย่างพอหยุดรถคันนึง คันอื่นก็จะหยุดตาม จากนั้นก็วาดรูปแผนที่เกิดหตุ ตรวจดูทะเบียนรถ ส่วนคนขับรถยนต์ก็พาคนเจ็บไปโรงบาลด้วย ในที่เกิดหตุก็เลยมีแต่ตำรวจกับกู้ภัย แล้วก็รถคันเกิดเหตุ
“กู้ภัย รถจักรยานยนต์ที่ถูกชนอยู่ไหน เห็นแต่รถเก๋ง” ผมถามเจ้าหน้าที่กู้ภัย เพราะที่เกิดเหตุก็ค่อนข้างมืด
“อยู่ใต้ล้อข้างขวางัยหมวด” กู้ภัยตอบ อย่างนี้เค้าไม่เรียกชนแล้ว เค้าเรียกเหยีบนี่หว่า ว่าแล้วผมก็เดินไปที่ล้อหน้าข้างขวาพบรถจักรยานยนต์อยู่ใต้ท้องรถจริงๆ ก็เลยต้องก้มลงดูเพื่อจดทะเบียน แต่สังเกตจากช่องทางเดินรถแล้ว ล้อรถยนต์เหยียบเส้นแบ่งเลนพอดี การดูที่เกิดเหตุถ้าไม่ระวังอาจถูกรถที่วิ่งมาเลนขวาชนร้อยเวรเอาได้ เพื่อความปลอดภัยผมจึงได้ให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยอยู่ท้ายรถส่องสปอร์ตไลท์เตือนรถที่วิ่งลงจากสะพานให้ชะลอความเร็วและออกไปให้ชิดช่องขวา ส่วนผมก็นั่งยองๆลงไปจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ ทันใดนั้นเอง ขณะที่ผมกำลังจดอยู่ มีแสงสว่างจากไฟหน้ารถที่ลงจากสะพานส่องมาหาผมอย่างจัง ผมละสายตาจากทะเบียนรถจักรยานยนต์หันไปมองที่มาของแสงไฟ เป็นรถยนต์กำลังพุ่งเข้ามาหาผม เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินคือ
“หมวดระวัง รถมา!!!!” โครม!!! ทุกอย่างผ่านไปในเพียงเสี้ยววินาที แล้วทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบพักนึง
เจ้าหน้าที่กู้ภัยคนที่ยืนโบกอยู่ท้ายรถยนต์คันเกิดเหตุกระโดดหลบไปยืนยันฟุตบาทเชิงสะพาน ตัวสั่น เอามือปิดหน้า เชื่อว่าเสียงร้องเตือนไม่สามารถช่วยอะไรได้ รถที่ลงสะพานมาชนเข้ากับตำแหน่งที่ผมยืน เกี่ยวเอาไฟมองหลังข้างขวาของรถคันเกิดเหตุไปด้วยพร้อมกับร่องรอยเฉี่ยวชนทางบังโคนขวา เจ้าหน้าที่กู้ภัยรู้อย่างเดียวว่าได้เก็บศพร้อยเวรเพิ่มอีกคนแน่ๆ
แต่แล้ว......
“ป๊าบ ป๊าบ ป๊าบ” เสียงสมุดปกแข็งกระทบหัวเจ้ากู้ภัยที่โบกอยู่ท้ายรถอย่างจัง ด้วยความโมโห
“ให้โบกรถ กระโดดหลบทำไมวะ รถชนเข้าอย่างจังเลยเนี่ย” ผมเบิร์ดกะโหลกเจ้ากู้ภัย หลังจากตั้งสติได้ ไม่เสียงตอบ แต่เป็นการใช้มือสองข้างของเจ้ากู้ภัยมาจับๆคลำที่ไหล่และแขนผม
“หมวด ผี หรือ คน เนี่ย” เจ้ากู้ภัยตอบเสียงสั่น
“ป๊าบ ป๊าบ” ผมเบิ้ลให้อีกที่เพื่อเสริมความมั่นใจให้
“หมวดยังไม่ตายเหรอ เฮ้ย!! พวกเราหมวดยังไม่ตายโว้ย” เสียงดีใจของเจ้ากู้ภัยดังกล่าว ทำเอาพวกเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เหลือเดินมาหาผมและสัมผัสมือ แขน ทำให้ผมงง เลยต้องถามกลับไป
“ไอ้บ้า อยู่ๆมาแช่งกันซะได้ ปากเสียแล้วไง” ผมเหลืออดเลยสวนไป
“หมวด เมื่อกี้ยืนนั่งดูทะเบียนรถมอไซค์อยู่ไม่ใช่เหรอ” เจ้ากู้ภัยถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่” ผมตอบ
“ง้านหมวดลองเดินไปดูตรงที่หมวดนั่งเมื่อกี้ดิ” เจ้ากู้ภัยบอก ผมจึงเดินไปดู โดยกำชับให้คอยโบกรถส่งสัญญาณให้รถที่ลงมาจากสะพานทราบด้วยว่ามีเหตุ พอไปจุดที่ผมอยู่เมื่อตอนรถชน ปรากฎว่า คุณพระช่วย!!! จุดนั้นมีรถเฉี่ยวชนอย่างแรงถึงขนาดกระจกมองข้างกระเด็นไปข้างหน้าเกือบสิบเมตรตามแรงคันที่ชน และบังโคลนก็ถูกเฉี่ยวชนจนเป็นรอยครูด ซึ่งถ้ามีแมวซักตัวอยู่ตรงนั้นก็คงโดนเหยียบ แต่ไม่ใช่แมว มันเป็นผมเองที่อยู่ตรงจุดนั้นเมื่อตอนที่รถมาชน
แล้วรอดมาได้ยังไงเนี่ย!!!!
ผมจึงได้เข้าใจถึงอาการแปลกๆของเจ้าหน้าที่กู้ภัยทุกคนที่มาร่วมตรวจดูสถานที่เกิดเหตุในวันนั้น
เพราะจากจุดที่ผมนั่งอยู่แล้วกระโดดหลบรถมาถึงที่ท้ายรถยนต์คันเกิดเหตุด้านซ้ายนั้น หมายถึงว่าผมต้องสามารถกระโดดจากจุดแรกไปจุดที่สองด้วยความสูงถึงเมตรยี่สิบตามความสูงของรถยนต์และกระโดดไปได้ไกลถึงเกือบสามเมตรเพื่อไปยืนอยู่ท้ายรถด้านซ้าย แต่เหตุการณ์เพียงเสี้ยววินาที ผมรู้ดีว่าตัวผมน่ะขนาดวิชากรีฑาตอนฟิตๆยังกระโดดได้แค่สองเมตรกว่าๆเอง
วันรุ่งขึ้นผมโทรตามสาวสวยที่ขายประกันให้เมื่อวานที่ให้นามบัตรไว้ แล้วก็จ่ายเงินค่ากรมธรรม์ให้เรียบร้อยโดยไม่ถามซักคำว่าสิทธิประโยชน์มีอะไรบ้าง ทราบแต่เพียงว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุตายน่ะได้เยอะ ซึ่งสาวขายประกันก็ยังงงมาถึงทุกวันนี้ เพราะเธอจีบขายประกันให้ผมมาถึงเกือบสี่เดือน จนถึงขนาดมีการวางเดิมพันกันในหมู่สาวขายประกันว่าใครขายให้ผมได้ จะเลี้ยงสุกี้มือใหญ่

คดีนี้สอนให้รู้ว่า ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา

รอดมาได้ยังงัยเนี่ย

“คุตะหรัวะ ชั่วดั่วๆ(แปลว่า คุณตำรวจช่วยด้วยๆ)” เสียงขอความช่วยเหลือดังร้องกันเสียงหลง ติดๆกัน อย่างหนีภัยสุดชีวิต ขณะที่สายตรวจจักรยานยนต์กำลังปฏิบัติหน้าที่ในเขตรับผิดชอบ
“มีอะไร มีอะไร ไปโดนใครตีหัวมาเนี่ย เลือดอาบเลย” สายตรวจร้องถาม
“ไอ้พั่วน๊า กะทื่อโผสอโคคะ คุตะหรั่ว(แปลว่า ไอ้พวกนั้นกระทืบผมสองคนครับคุณตำรวจ)” ผู้บาดเจ็บแจ้งความโดยชี้นิ้วไปทางท้ายซอย ทันใดนั้นเอง ชายฉกรรจ์สามสี่คนที่วิ่งตามพอดี ถึงกับเบรคตัวโก่ง ใส่เกียร์ถอยหลังยูเทิร์นโกยแน่บไปทางท้ายซอย สายตรวจจึงรีบขี่รถตาม โดยเจ้าหน้าที่ที่นั่งซ้อนก็รีบ ว.ขอกำลังเสริมจากหน่วยข้างเคียง แต่ปรากฎว่าไม่สามารถตามได้ทันเพราะมันรู้ลู่ทางดี วิ่งหนีไปในตรอกที่รถไม่สามารถจะขับขี่ได้สะดวกนัก เนื่องจากมีเครื่องกีดขวางเยอะ เป็นอันว่ามันหนีไปได้(คงไปตามระเบียบเหมือนเดิมน่ะครับ) สายตรวจจึงได้วกรถกลับมาหาผู้เสียหายทั้งสองคน
“ไปหาหมอก่อนดีกว่า” สายตรวจบอกกับผู้เสียหาย
“ไม่เปไร เลื่อหยุแระ(ไม่เป็นไร เลือดหยุดแล้ว)” ผู้เสียหายตอบ ฟังจากสำเนียงที่ไม่มีตัวสะกด ด้วยสัญชาตญาณรับรู้ได้ทันทีว่า ต้องเป็นมนุษย์ต่างดาว เอ๊ย คนต่างด้าวแน่นอน จึงได้ขอดูใบต่างด้าว
“ต้งมะเป ยางัย (แปลว่า ต้นมันเป็นยังไง) ถ้าบอกต้งได้ เด๊ะไปเกะใบมาให้ดู(ถ้าบอกต้นได้ เดี๋ยวไปเก็บใบมาให้” ผู้เสียหายตอบแบบพาซื่อ
“ชัดเลย!! อีหร็อบนี้หนีเข้าเมืองมาแน่ พี่” เสียงสายตรวจรุ่นน้องบอกรุ่นพี่
“แสดงว่าไอ้ที่โดนกระทืบมานี่ มีคนพาลักลอบเข้ามา ต้องมาเก็บเงินค่าหัวแล้ว ไอ้สองตัวนี้ไม่มีจ่าย เลยโดนกระทืบ หรือไม่ก็เป็นพวกต่างด้าวด้วยกันมาเก็บค่าคุ้มครอง ชัวร์” สายตรวจรุ่นพี่ตอบด้วยความเก๋ากว่า “ง้านขอดูบัตรประชาชนละกัน คนไทยรึป่าว” สายตรวจแกล้งถาม
“โคไท ซี้ บะปะชาโช อยู่ที่พะ โดกะทื่อ วี่หนีมาจะอาบะมาได้ยะงา (คนไทยสิ บัตรประชาชนอยู่ที่พัก โดนกระทืบวิ่งหนีมาจะเอาบัตรมาได้ยังไง)” ผู้เสียหายคนแรกตอบ
“อ้าวคนไทยเหรอ ไหนร้องเพลงชาติให้ฟังหน่อยดิ๊” สายตรวจทดสอบความไทย
“วาเพ เดือสิสอ น๊าก็นอเตตะหลี่ เปไง เพาะมะ(วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นอง เต็มตลิ่ง เป็นงัย เพราะมั๊ย)” ผู้เสียหายคนแรกร้องอย่างมั่นใจ
“ป๊าบ” เสียงผู้เสียหายคนที่ 2 ตบกะโหลกคนแรกเข้าจัง
“ไอ้โง่ น่ะเพลอยกะโท โว้ย(นั่นเพลงลอยกระทง โว้ย” ว่าแล้วคนที่สองก็เลยโชว์เพลงชาติให้ฟัง
“ช้า ช้า ช้า ช้า ช้า น๊อ เคอ เหช้า รึป่ะ(ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างรึป่าว)”
“เอ๊า พอๆ รู้แล้ว คนไทยทั้งคู่ ไหนพาจ่าไปเอาบัตรประชาชนที่พักหน่อย” สายตรวจเริ่มรู้ทันแล้ว ก็ตามผู้เสียหายทั้งสองไปยังที่พัก เมื่อไปถึงปรากฎว่า เจอ ชาวต่างชาติอีกคน เชื่อว่าเป็นชาติเดียวกันกับไอ้สองคนแรกนั่นแหระ จึงได้ขอดูเอกสารประจำตัว ปรากฎว่าชายดังกล่าวได้แสดงหนังสือเดินทางต่างประเทศ มีการประทับตราผ่านเข้าออกอย่างถูกต้อง แต่เจ้าสองคนแรกได้ชี้ตัวบอกเจ้าหน้าที่สายตรวจว่าชายดังกล่าวเป็นคนพาเค้าลักลอบเข้ามาเมืองไทย เจ้าหน้าที่สายตรวจจึงได้นำตัวทั้งสามคนมาโรงพัก
“หมวดคับ สองคนนี้ต่างด้าวลักลอบเข้ามา ส่วนคนนี้นำพาเข้ามาครับ” สายตรวจส่งบันทึกจับกุมพร้อมรายงานข้อหาคร่าวๆ งานเข้าเลยครับ วันนี้รับเละ สารวัตรเวรขาหัก จำหน่ายบาดเจ็บจากกีฬาโรงพัก ร้อยเวรมีคนเดียวซะด้วย เต็มๆเลย เจ้าสองคนที่ลักลอบเข้ามาไม่ซีเรียทเท่าไหร่คดีพื้นๆส่ง ตม.ได้ แต่ไอ้เจ้าคนนำพานี่สิเต็มๆ ต้องสอบปากคำก่อน
“พูดไทยได้มั๊ย” ผมถามเพื่อความชัวร์
“I can’t speak thai” ผู้ต้องหานำพาตอบ
“เอาแล้วงัย” เราก็ศิษย์อาจารย์แหม่มเหมียนกัลสบายมาก ผมจึงได้สอบปากคำเป็นภาษาอังกฤษ โดยไม่ต้องรอล่าม เสียเวลา แต่ปรากฎว่า พอพูดภาษาอังกฤษ มันก็แกล้งเซ่อ โบกมือบ๊าย บาย บอกฟังไม่รู้เรื่อง ระหว่างที่กำลังสอบปากคำอยู่นั่นเอง ไอ้ขี้เมาคดีเก่า ลูกค้าประจำผมก็เปิดประตูห้องร้อยเวรเข้ามาพอดี
“หมวด ขอตังกินข้าวหน่อยดิ” ผมโดนไอ้บ้านี้มาขอตังค์กินข้าวประจำ เพราะสายตรวจจับมาขังไม่รู้กี่รอบแล้วข้อหาเมาสุราอาละวาด จนกลายเป็นลูกค้าประจำผมไปแล้ว ที่สำคัญใช้มันล้างรถร้อยเวรเป็นการแลกข้าว ทำให้มันเกิดอาชีพใหม่เวลาไม่มีตังค์ก็จะล้างรถร้อยเวรแล้วก็มาขอตังค์ผมกินข้าวประจำ แต่วันนี้ผมมีแขก เอ๊ยผู้ต้องหาต่างด้าว ซึ่งเจ้าขี้เมาเห็นสีหน้าผมหงุดหงิดกับการสอบปากคำคนต่างด้าวนี่อยู่ ด้วยเกรงว่าตัวเองจะไม่ได้ตังค์จากผม ประกอบกับมันคงเห็นลีลาการถูกสอบปากคำนั่งกวนอารมณ์ตำรวจมาก
“ป๊าบ ป๊าบ” สิ้นเสียงผู้ต้องหาต่างด้าวผม หัวทิ่มติดโต๊ะผม
“โอ๊ย ตบกูทำไม” เสียงผู้ต้องหาต่างด้าวพูดอย่างลืมตัว ผมก็เลยงง ถามกลับไปว่า
“อ้าว พูดไทยได้นี่หว่า” ผู้ต้องหาตกใจเพราะลืมตัว
“ตอบหมวดเค้าดีๆ ไม่ให้ความร่วมมือ เด๊วป๊าด” ไอ้ขี้เมาพูดพลางเงื้อมือ ผู้ต้องหาต่างด้าวของผมตอนนี้เลยพูดไทยรู้เรื่องไม่ต้องใช้ล่ามแปล เอ้อ เฮ้ย เพิ่งรู้ว่า ตบกะบาลแล้วทำให้พูดไทยได้ รู้งี้ตอบมาหลายคนแล้ว (คิดในใจนะครับ ขืนทำล่ะ ได้แปลงร่างจากตำรวจเป็นผู้ต้องหาแน่ ) แต่ก็นึกสะใจยังไงบอกไม่ถูก ครับ ปกติเคยให้ไอ้ขี้เมาค่าล้างรถแค่สามสิบ วันนี้เลยตบรางวัลให้มันเป็นร้อยนึง ในฐานะผู้ช่วยพนักงานสอบสวน ทำให้การสอบปากคำราบรื่น จนสรุปสำนวนส่งอัยการ แล้วเรื่องก็เกิดครับ เมื่ออัยการเรียกผมไปพบ
“หมวด พยานสองคนที่ที่ผู้ต้องหานำพาเข้ามาน่ะ พักอาศัยอยู่ที่ไหน ไม่เห็นหมวดบันทึกในคำให้การ บอกแต่ว่า อยู่คะชินใกล้แม่น้ำอิรวดีตอนบน เด๊วอาทิตย์หน้าผมจะนัดซักซ้อมพยาน” อัยการถามผม ด้วยประสบการณ์พนักงานสอบสวนชั่วโมงบินน้อย ผมรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หลังจากสอบสวนปากคำเจ้าต่างด้าวสองคนน้านในฐานะพยานแล้ว ก็ให้สายตรวจไปส่ง ตม. ผลักดันกลับประเทศไปแล้วในฐานะผู้ต้องหาหลบหนีเข้าเมืองฯ แล้วจะให้ไปตามหามันเจอได้ยังไง เคยไปต่างประเทศซะเมื่อไหร่ล่ะเรา พออัยการทราบความก็ได้แต่ส่ายหัว บอกผมว่าไม่รู้จะช่วยยังไงง้าน ขอบันทึกปากคำการเรียกพนักงานสอบสวนมาซักถามไว้ละกันว่าส่งพยานกลับประเทศไปแล้ว
“คุก คุก คุก” เสียงไอของผมทำไมมันดังแปลกๆยัง งี้ ผมแทบหมดแรงออกจากตึกอัยการ ทั้งๆที่เดินลงลิฟท์มาแต่หมดแรงขับรถกลับโรงพัก ทั้งๆที่ปกติก็เดินไปมาระหว่างโรงพักกับตึกอัยการเป็นการออกกำลัง แต่วันนี้ขนาดขับรถมายังแทบไม่มีแรงขับรถกลับ ในใจคิดอย่างเดียวจะบอกพ่อบอกแม่ยังไงเนี่ย ถ้าเป็นตำรวจอยู่ดีๆแล้วกลายเป็นผู้ต้องหา เฮ้อ! คิดแล้วกลุ้ม หลังจากนั้นอีกสัปดาห์เหมือนฟ้าผ่า มีสุภาพสตรีท่านหนึงมาขอพบผมในฐานะทนายของผู้ต้องหาต่างด้าวนำพา
“ดิฉัน เป็นทนายของนาย......(ผู้ต้องหาต่างด้าวนั่นเอง) จะขอดูบันทึกปากคำลูกความค่ะ ลูกความดิฉันปฏิเสธชั้นศาลค่ะ” เสียงหวานๆของทนายสาว มันเฉือนหัวใจผมออกเป็นเสี่ยงๆ นี่ใกล้วันสุดท้ายของเราแล้วสินะ ผมคิดในใจ แต่ทำใจดีสู้เสือ
“ครับสวัสดีครับ คุณทนายคนสวย มาเหนื่อยๆ รับน้ำส้มก่อนนะครับ เด๊วผมขอค้นสำนวนก่อนครับ” ผมใช้สูตรเดิมครับ นึกอะไรไม่ออก เสริฟน้ำส้มก่อน ช่วงที่ยังคิดอะไรไม่ออกก็หยิบสำนวนทุกคดีมาแกล้งหาเพื่อถ่วงเวลา เพราะถ้าเธอได้เห็นคำให้การผู้ต้องหาแล้ว ไปหาพยานหักล้างก็ยิ่งหนักสำหรับผม แต่เธอหารู้ไม่ว่า ถึงไม่หาพยานหักล้าง ผมก็ไม่สามารถนำพยานมาสืบได้อยู่ดี ระหว่างนั้นเองที่เธอทานน้ำส้มอยู่ ผมก็เอาความใสซื่อเข้าแลกหมัดเลย
“พอดีวันนี้งานผมเยอะ ผมยังไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เช้าเลยครับ ถ้าไงทานด้วยกันดีมั๊ยครับ แต่ว่าของ่ายๆนะครับ เงินเดือนยังไม่ออกครับ” ว่าแล้วผมก็สั่งข้าวกระเพามาสองจาน นั่งทานกันตรงโต๊ะทำงานนี่ล่ะ ระหว่างนั้นก็นั่งคุยกันเรื่องคดี
“พวกคนต่างด้าวเนี้ยะ เชื่อมั๊ยครับ ถ้าเข้ามาถูกต้อง ทางราชการเราก็จะมีประวัติ พวกนี้จะไม่ค่อยกล้าทำผิดในบ้านเรา” ผมเริ่มพูดคุยถามทางเพื่อความเป็นกันเอง เมื่อข้าวได้เริ่มหมดไปครึ่งจาน เธอก็นั่งฟังสนธนาตอบโต้เป็นระยะ
“ส่วนพวกลักลอบเนี้ยะ มักจะก่ออาชญากรรม โดยเฉพาะคดีข่มขืนครับ” ผมพูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าเธอดูตกใจ “จริงเหรอคะหมวด” จากน้ำเสียงเธอผมเริ่มมั่นใจขึ้นว่า เริ่มเข้าพวกกันแล้ว เลยพูดต่อ
“แล้วพอก่อคดีข่มขืนเสร็จ ผู้เสียหายน่าสงสารมากเลยครับ เพราะส่วนใหญ่ตำรวจรู้ว่าเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่สามารถหาพยานหลักฐานจากช่องทางอื่นเพราะไม่มีรูป ไม่มีลายนิ้วมือบันทึกประวัติกันมาก่อน ทำให้พวกนี้ลอยนวล มาก่อคดีซ้ำๆกับผู้หญิงบ้านเรา คนแล้ว คนเล่า ผมล่ะโกรธแค้นพวกนี้มากเลย คิดดูสิคุณ ถ้ามันมาทำกับญาติเรา พี่สาว น้องสาวเรา จะเป็นยังไง”
“แล้วไม่สามารถติดตามจับพวกนี้ได้บ้างเหรอคะ” เธออย่างกังวล โดยหวั่นว่าเธอก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน
“นี่ผมฟลุ๊กมากนะครับ ที่สามารถจับได้ตัวคนนำพามา ไอ้คนนำพานี่ล่ะครับ ตัวต้นเหตุที่นำพวกลักลอบเข้ามา แล้วมาเกิดเหตุร้ายกับผู้หญิงบ้านเรา” ผมย้ำอีกครั้ง ระหว่างส่งคำให้การผู้ต้องหาให้เธออ่าน
“จริงๆดิฉันก็เป็นทนายที่ผู้ต้องหาขอแรงค่ะ ไม่ได้เป็นทนายที่ผู้ต้องหาแต่งตั้งให้สู้คดี ถ้ามันเกิดผลเสียกับคนบ้านเราขนาดนี้ ดิฉันว่า ก็คงต้องว่ากันไปตามเนื้อผ้านะคะเนี่ย เพราะในชั้นสอบสวนเค้ารับสารภาพไม่ใช่เหรอคะ ผู้หมวด” เธอตอบได้ถูกใจผมมาก ผมรู้แค่ว่ารู้สึกดีที่เธอมีคุณธรรม และไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่า “ครับ”
เธอกล่าวขอบคุณผมและจากไปด้วยอัธยาศัยไมตรีที่เป็นมิตร หลังจากนั้นไม่นาน
“หมวด สำนักงานอัยการขอสายครับ บอกว่าคดีต่างด้าวครับ” เสียงพนักงานวิทยุแจ้งให้ผมไปรับโทรศัพท์ ผมยอมรับชะตากรรมเดินไปรับโทรศัพท์อย่างคอตก
“นี่ หมวด คุณทำบุญด้วยอะไรเนี่ย อยู่ผู้ต้องหารับสารภาพ ไม่ต้องสืบพยาน ศาลลงโทษกึ่งหนึ่งเพราะผู้ต้องหารับสารภาพ ดีใจด้วยนะ เลยโทรมาบอก” เสียงท่านอัยการแสดงความยินดีกับผมอย่างยิ่ง
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากกก ครับพี่” ผมตอบอย่างลืมตัวว่าคุยกับอัยการอยู่ พลันใจผมได้แต่นึกขอบคุณทนายสาวท่านนั้น ที่เธอยังเมตตาผมโดยเธอไม่รู้ตัว ส่วนผมนึกอะไรไม่ออกครับนอกจากคิดอย่างเดียว ไม่ใช่ฝืมือ ไม่ใช่ประสบการณ์ ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น สรุปคำถามในในอย่างเดียวว่า “รอดมาได้ยังไงวะกู”

คดีนี้สอนให้รู้ว่า แม้ไม่ถึงที่ตายวายชีวาต ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ อิอิอิ

ผัวเมียพอๆกัน

“เนื้อคู่กันแล้ว ก็คงไม่แคล้วกันไปได้” เสียงเพลงจากวิทยุเอเอ็ม กรุเพลงเก่าของใครมิอาจทราบได้ ดังมาจากหลังโรงพัก ขณะที่ผมกำลังเดินขึ้นบันไดจะไปเข้าเวร ทำให้นึกถึงคดีผัวๆเมียๆ หลายต่อหลายคดี ถ้ามีการทำเรตติ้งล่ะก้อ น่าจะสูสีกับคดีจับการพนัน ถึงแม้รูปแบบคดีจะซ้ำๆ แต่ลีลาและเรื่องราวไม่มีซ้ำกันเลยครับท่าน นึกถึงยังไม่ทันไร เสียงดังเอะอะโวยวายลั่นโรงพักมาจากอีกฝั่งปีกของโรงพัก เช่นเคยครับ วันนี้เข้าเวรจราจร รอด!!!
“ไหน ไหน ตำรวจอยู่ไหน ลากคอมันเข้าคุกเลย ไอ้ผัวเฮงซวย กูไม่อยู่ด้วยแร้ว” เสียงขรมมาแต่ไกลชนิดไม่เกรงใจตำรวจ ชัด!!! ผัวเมียตีกันมาแน่!!!
“รอสักครู่นะคร๊าบ พอดีร้อยเวรอาญารถติดอยู่ใกล้ถึงโรงพักแล้วครับ” ผมรีบต้อนรับขับสู้ ด้วยเกรงว่าจะโดนลูกหลง
“โอ้โห นี่ผัวเมียเค้าจะตีกันตายอยู่แล้ว ตำรวจยังติดไฟแดงอยู่อีกเหรอ กว่าจะไฟเขียวไม่ตายกันไปแล้วเรอะ คุณตำรวจ” เสียงเมียดูท่าไม่ค่อยยอม ลักษณะนี้เหมือนงานจะเข้า แฮะ เลยต้องปรามทัพไว้ก่อน
“อ๋อ ผมรับเรื่องแทนก่อนได้คร๊าบ เพียงแต่แจ้งให้ทราบว่าเจ้าของคดียังมาไม่ถึงคร๊าบบบ” แหม่ คิดในใจรอดไปได้เปลาะนึง
“เอ้ารับแทนได้ใช่ มั๊ย” แล้วคุณเมียก็หันลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องรับแจ้งความ ตะโกนเรียกสามีอย่างดัง “ มึงมานี่เลย มาคุยกับร้อยเวรเค้า จะเอายังไง”
“ไอ้เนี่ยมันเมามาแล้ว ตบตีอีชั้นค่ะ คุณตำรวจ” เมียรีบแจ้งความก่อน ซึ่งผมก็พิจารณาดูแล้ว อาการบาดเจ็บของเมียก็มุมปากข้างซ้ายมีเลือดซึมๆอยู่นิดๆ แสดงว่าผัวนี่เมาแล้วซาดิสต์แน่ๆ แต่แล้ว คุณพระ เมื่อคุณผัวเปิดประตูมา เห็นเลือดกลบปาก ตาเขียว เดินกระเผกมา กลิ่นละมุดคลุ้งไปหมด(แสดงว่าเหล้าราคาถูก อิอิ)
“พี่ ไปหาหมอก่อนมั๊ย” ผมบอกคุณสามีด้วยความเป็นห่วงในอาการบาดเจ็บ
“โอ๊ย ไอ้นี่มันตายยากค่ะคุณตำรวจ พอเหล้าเข้าปาก เห็นช้างตัวเท่าหมู หนอยแน่ะ บังอาจมาตบเมียโชว์เพื่อน เป็นงัย วงแตกเลยมึง” เธอยังไม่ลดดีกรีความโมโห ทำให้ผมไม่กล้าขัดจังหวะ เพราะจริงของเธอนะ ที่ผัวกินเหล้าแล้วเห็นช้างตัวเท่าหมู ดูจากเชฟเธอแล้ว น้องๆช้างจริงๆ ทำให้นึกเห็นใจฝ่ายชายขึ้นมาทันที ส่วนผมตีหน้าขรึม ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ความเงียบลดดีกรีทั้งสองฝ่ายก่อน ซึ่งจริงๆแล้ว นึกอะไรไม่ออก เกิดพูดผิดหู นึกว่าร้อยเวรเป็นผัวตบคว่ำไปอีกคนล่ะยุ่งเลย
ได้ผลครับ ท่านผู้ชม ฝ่ายผัวก็ไม่พูดอะไรซักคำ เอาแต่เช็ดเลือดที่กลบปาก แล้วก็เอาชายเสื้ออีกข้างมาเป่าให้ร้อนเพื่อมาอังขอบตาที่เขียว ส่วนฝ่ายเมีย ดีกรีเริ่มลดลง หันมามองสามีจากสายตาแข็งเป็นเริ่มอ่อนโยนลง ผมยังคงนั่งขรึม (ยังนึกไม่ออกจะพูดอะไรดี) ได้แต่ส่งสายตามองสามีอย่างเห็นใจ ทันใดนั้นเองเมื่อผมมองไปสบสายตาฝ่ายเมียถึงกับร้องไห้โฮ เสียใจในอารมณ์ที่ตัวเองบรรเลงไปกับผัวซะเละ โอกาสเรามาถึงแล้ววววววว
“เห็นมั๊ย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากอารมณ์ชั่ววูบ” ผมเอ่ยแบบจำมาจากละครน้ำเน่าตอนพ่อผัวแม่ผัวชอบเข้ามาปลอบนางเอก แล้วสมองมันก็แล่นไปเรื่อย พูดไปเรื่อยๆ พอสรุปความได้ว่า เมื่อก่อนก็รัก อะไรๆก็หวาน ชี้นกเป็นไม้ ชี้กระต่ายเป็นพระจันทร์ มองเห็นแต่สิ่งดีๆ มองข้ามสิ่งไม่ดี พอมาตอนนี้ มองข้ามสิ่งดีๆ ที่ทำให้กันไปหมดก็เลยมีแต่อารมณ์
ฝ่ายเมียก็เริ่มใจอ่อนมาซับเลือดที่กลบปากซึมๆออกจากปากผัว เห็นแล้ว ก็ซึ้งอยู่แก่ใจจริงๆ นี่ล่ะน๊า ฤทธิ์สุรา แต่ด้วยความสงสัยว่า ฝ่ายผัวตอนนี้ซึมไม่กล้าหือไม่กล้าอือ ผิดวิสัยขี้เมา แล้วทำไมตอนอยู่ในวงเหล้ากับเพื่อนถึงกล้าตบเมียโชว์ ผีสิงรึงัย
“พอเหล้ามันหมด ผมกำลังจะเดินเข้าไปขอตังค์เมียหลังบ้าน พอกำลังจะผ่านประตู ผมสะดุดกับขื่อประตู มือเลยไปฟาดหน้าเมียเข้า ยังไม่ทันจะอธิบาย ก็ซ้ายนำเต็มปาก จากนั้นก็ครบเครื่องแม่ไม้มวยไทย ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหระ ค๊าบบบบ” ผัวตอบ
“อ้าววววววววววววววว” ผมงงถึงบางอ๋อเลย ก็เลยแนะนำไปว่า “ทีหลังอย่ากินเหล้ายี่ห้อนี้อีกนะ กินแล้วเจ็บตัวอ่ะ ลองเปลี่ยนยี่ห้ออื่นดู เมียอาจจะชอบก็ได้นา”
“แล้วพี่ทำไมไม่บอก ดูซิปล่อยให้น้องเข้าใจผิด” ฝ่ายเมียเริ่มอ้อนเชียว ผมได้แต่นึกในใจว่า โอ้โฮ ผัวโดนไปซะครบเครื่องขนาดนี้ คงได้มีโอกาสอธิบายอยู่ร๊อก นี่รอดตายได้ก็บุญแล้วนะเนี่ย
“แล้วพี่ผู้ชายจะเอาเรื่องเมียทำร้ายร่างกายมั๊ยครับเนี่ย” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ แต่คำตอบที่ได้รับ “ม่ายหรอกครับ ผมรักของผม” อื้อหือ ลองรักขนาดนี้ ข้าพเจ้าไม่เอาด้วยคนล่ะว๊า
“แล้วพี่ผู้หญิงล่ะ จะเอาเรื่องอะไรพี่ผู้ชายรึป่าว” ผมย้ำเพื่อปิดคดี
“อู้ย ไม่หรอกค่ะ ของอย่างงี้ เคลียร์กันเองที่บ้านดีกว่า” ฝ่ายหญิงตอบ
“น้านนนน เอาเข้าไป พอเข้าใจกันได้ ก็ไม่อายตำรวจเลยเนอะ” ผมหยอกทั้งคู่
ทันใดนั้นเองเจ้ารุ่นน้องร้อยเวรเจ้าของคดีก็เปิดประตูเข้ามาพอดี
“พี่ขอโทษครับมาสาย พอดีมีรถชนอยู่หน้ารถผมพอดี ก็เลยแสดงตัวเป็นร้อยเวร พาเข้าโรงพักมาส่งพี่ถึงที่เลยครับ” รุ่นน้องรายงานถึงเหตุมาช้า แต่ผมสิ ไม่รู้จะขอบใจในน้ำใจมันยังไงดี อุตส่าห์หอบลูกคดีมาส่งถึงที่ ก็เลยหยอกคืนไปบ้าง
“เอ้า นี่ก็คดีของน้อง มารอนาน แล้ว พี่โม่ให้เรียบร้อย เคลียร์ต่อเองละกัน”ผมบอกรุ่นน้อง
แล้วก็หันไปบอกคู่ผัวเมียก่อนจะขอตัวไปเคลียร์คู่กรณีคดีจราจรนั่งรออยู่โต๊ะถัดไป
“นี่ ทีหลังเวลาแต่งงานน่ะ หัดมาบอกตำรวจมั่งนะ จะได้ไปกินโต๊ะจีนร่วมแสดงความยินดี พองานแต่งไม่เคยมาเรียก พอตีกันเรียกแต่ตำรวจเลยนะ” ผมหยอกเล่นเมื่อเห็นว่าทุกอย่างแฮปปี้เอนดิ้งแล้ว แล้วก็ขอตัวไปเคลียร์คดีรถชน
หลังจากน้านประมาณสองเดือน ผมได้รับการ์ดแต่งงาน เมื่อเปิดซองดู ชื่อเจ้าบ่าว เจ้าสาว ก็ไม่ค่อยคุ้น แต่เหมือนเคยผ่านตา เลยไปเปิดคดีย้อนหลัง อ้อ เป็นคู่กรณีรถชนวันที่ผัวเมียตีกันนี่เอง คงได้ยินผมบอกคู่ผัวเมีย อิอิ ได้ผลแฮะ หลังจากไปงานแต่งถึงได้ถึงบางอ้อว่า คู่บ่าวสาวได้ยินผมบอกคู่ผัวเมียที่ตีกันเมื่อวันที่ทั้งคู่เกิดรถชน ก็เลยนึกจะแก้เคล็ดเชิญตำรวจไปร่วมงานแต่ง จะได้ไม่ต้องตีกันขึ้นโรงพัก เอ้อ เป็นยังงี้นี่เอง จากนั้นทั้งคู่ก็ขอให้ผมขึ้นเวทีอวยพร ผมรีบชิ่งก่อน โดยขออวยพรตรงซุ้มถ่ายรูป แล้วรีบขอตัวกลับ อ้างว่าต้องไปเข้าเวรต่อ
“เฮ้อ จะให้ไปอวยพรบนเวที ขนาดตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ขอให้มีความสุข ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองละกัน คร๊าบบบบ ผม”

คดีนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องผัวๆเมียๆน่ะ แก้เคล็ดได้ด้วยการ ให้เชิญร้อยเวรไปงานแต่งงานนะคร๊าบบบ

ตกลงกันไม่ได้ก็ต้องยึด

ทุกวันนี้เหตุรถชนถ้าไม่ถึงกับมีคนเจ็บ คนตาย ในยุคนี้นับว่าร้อยเวรค่อนข้างจะตัดสินได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก ยิ่งคู่กรณีที่มีประกันภัย จะชั้นไหนก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่ พ.ร.บ.ฯ ก็ยิ่งลดภาระการสอบสวนให้กับร้อยเวรเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากบริษัทประกันภัยจะมีพนักงานเคลม ซึ่งจะไปถึงที่เกิดเหตุเพื่อบริการลูกค้าและรักษาผลประโยชน์ให้กับทางบริษัท ในบางครั้งก็สามารถรวบรวมพยานหลักฐานแทนร้อยเวรและเจรจากับคู่กรณี จนเป็นที่เข้าใจ และสามารถสรุปเหตุการณ์ให้ร้อยเวรเพื่อง่ายต่อการสอบสวนได้อีกต่างหาก ซึ่งขึ้นอยู่กับไหวพริบและปฏิภาณของพนักงานเคลม แต่ละคนว่าจะสามารถเข้าถึงที่เกิดเหตุและอธิบายเหตุการณ์ให้ร้อยเวรฟังได้เข้าใจเพียงใด ดังเช่น คู่นี้ครับ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายมีประกันชั้น 1 กันทั้งสองฝ่าย รถก็มีแต่ร่องรอยความเสียหาย ไม่มีผู้บาดเจ็บ สำหรับร้อยเวรนับว่าเป็นคดีหมูมาก อย่ากระนั้นเลย ทดสอบความสามารถนายตำรวจฝึกงานรุ่นน้องดีกว่า คดีหมูๆ น่าจะเคลียร์ได้ แมทช์นั้นผมเลยทำตัวเป็นกุนซือนั่งในห้องพนักงานสอบสวน แล้วมอบหมายให้น้องฝึกงานไปทดสอบวิทยายุทธที่ข้าพเจ้าได้พร่ำฝึกสอนมาตลอดสองเดือนเต็ม
“จะดีเหรอครับพี่ ผมยังตื่นเต้นอยู่เลย” น้องฝึกงานบอกผมอย่างไม่มั่นใจ
“อีกไม่กี่เดือนก็ต้องไปรับตำแหน่งจริงแล้ว คดีจิ๊บจ้อยแค่นี้ รถชนท้าย มีประกันทั้งคู่ ไม่มีเจ็บไม่มีตาย ง่ายๆแค่นี้เคลียร์ไม่ได้ ตายแน่ถ้าไปลงบรรจุจริงๆ” ผมตอบสร้างความเชื่อมั่นให้รุ่นน้อง
“ครับ ลองดู แต่พี่อย่าเพิ่งไปไหนนะครับ เผื่อผมตื่นเต้นนึกอะไรไม่ออกจะได้ถอยมาถามพี่” รุ่นน้องบอกกันเหนียว เผื่อพลาด แต่ผมก็พยักหน้าตอบรับเพื่อความอุ่นใจร้อยเวรมือใหม่
ว่าแล้ว ผมก็แอบมองอยู่ในห้อง เห็นรุ่นน้องว่าความด้วยท่าทีขึงขัง แหม เห็นแล้วภูมิใจ ไม่เสียแรงผู้บังคับบัญชาไว้ใจให้เราเป็นครูฝึกตั้งแต่ร้อยตำรวจตรี ขณะกำลังภูมิใจ ได้ยินเสียงคู่กรณีเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มรับรู้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติทันที จึงได้ส่งซิกเรียกรุ่นน้องมาถาม ก็ได้ความว่า รถคันหน้าให้การว่า ขับมาในเลนส์ตรงๆ อยู่ดีๆก็มีรถคันหลังมาชนท้าย ส่วนรถคันหลังที่ชนท้ายเค้าให้การว่า รถคันหน้าเปลี่ยนช่องทางในระยะกระชั้นชิดจากเลนส์ขวามาเข้าเลนส์กลางหน้ารถคันหลังทำให้เบรคไม่ทัน เลยชนท้าย เอาแล้วงัย
แม่เจ้า สมกับเป็นมือใหม่จริงๆ ขนาดรถชนท้ายกันยังเคลียร์ไม่จบ แถมออฟชั่นมีประกันชั้น 1 ทั้งคู่ อยู่ๆหาเรื่องปวดกบาลมาเข้าตัวซะแร้วเรา ครั้นจะออกไปแสดงตัวแล้วเคลียร์แทนเลย เด๊วน้องก็จะเสียหน้า คิดได้ดังนั้น ผมก็เลยให้รุ่นน้องแยกสอบสวนปากคำคู่กรณีทีละฝ่าย โดยให้รถคันหลังให้การก่อน อีกคันให้ออกไปรอหน้าห้องรับแจ้งความ ดูรุ่นน้องมั่นใจขึ้น เมื่อกุนซือให้ข้อแนะนำ ว่าแล้วผมก็แอบดูตามระเบียบ เห็นคนขับรถคันหลังนั่งเฉยๆไม่ค่อยพูด แต่เจ้าพนักงานเคลมประกันเล่าซะละเอียดเท่านั้นยังไม่พอ เอากระดาษมาเขียนเป็นช่องทางเดินรถ แล้วควักกระเป๋าเอกสารเอารถเด็กเล่นขนาดเล็กมาสาธิตเส้นทางการขับขี่ของลูกค้าอธิบายประกอบท่าทางให้ร้อยเวรมือใหม่ดู งานนี้เจอของแข็งเข้าแล้วไอ้น้องเอ๋ย ผมนึกในใจ
สักพักร้อยเวรมือใหม่ก็เชิญคนขับพร้อมพนักงานเคลมออกไปรอด้านนอก แล้วเชิญคู่กรณีอีกฝ่ายเข้ามา โดยขอยืมรถเด็กเล่นทั้งสองคันไว้ก่อนเพื่อให้คันหลังอธิบายเส้นทางการขับขี่
หลังจากได้คำให้การทั้งสองฝ่าย ร้อยเวรมือใหม่ก็กลับเข้ามาหาผม
“พี่ครับ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายก็ให้การยืนยันเหมือนเดิมครับพี่ ขนาดเอารถมาสาธิตเส้นทางการขับขี่ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมทั้งสองฝ่าย” ร้อยเวรมือใหม่ชักอาการไม่ค่อยดี กลัวจะเคลียร์ไม่จบ
“ไม่เป็นไรน้องอย่าเพิ่งตื่นเต้น วันแรกก็อย่างงี้แหระ เอางี้ ถ้าคู่กรณีตกลงกันไม่ได้ ก็ลงบันทึกประจำวันรับคดี แล้วก็ต้องทำความเข้าใจกับคู่กรณีด้วยว่า ต้องขอยึดรถไว้ก่อนเพื่อตรวจสภาพ แล้วนัดพรุ่งนี้อีกทีตอนเราเข้าเวร” เทคนิคนี้ซือแป๋ยังยอม มีประกันแล้วดันต้องมาเสียเวลาเพราะพนักงานเคลมหัวหมอไม่ยอมรับความจริง สอนลูกค้าให้โกหกร้อยเวรซะได้ ถ้าร้อยเวรมือใหม่อาจทำให้สับสนได้ แต่มือเก๋าอย่างเราฝันไปเถอะเพื่อน
“อ้อ น้องแล้วอย่าลืมลงประจำวันยึดรถทั้งสองคันแล้วให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายลงชื่อยินยอมให้ยึดรถเพื่อตรวจสภาพด้วยนะ อ้อ!! อย่าลืมให้พนักงานเคลมทั้งสองฝ่ายเป็นพยานด้วยล่ะ เด๊วพี่ขอตัวไปหาอะไรกินที่ร้านค้าข้างโรงพักสักสิบห้านาทีนะ” ผมกำชับบอกรุ่นน้องไปเพราะเชื่อว่า ยังงัยก็แล้วแต่เจ้าของรถใครจะบ้ายอมให้ยึดรถ คดีเล็กน้อยอย่างนี้ไม่คุ้มกับค่าเสียเวลา เดี๋ยวความจริงก็ปรากฎออกมาแหระ ว่าแล้วก็ลงไปหาอะไรอร่อยๆหม่ำซะหน่อย
หลังจากเอ้อระเหยลอยชายกับกระเพาไก่ไข่ดาวตบท้ายด้วยลอดช่องสิงคโปร์(แต่ลาวทำขายนะ) กลับขึ้นมาบนโรงพักเจอรุ่นน้องพอดีเดินยิ้มเข้ามาให้ผม
“เป็นงัยคดีรถชนเมื่อกี้ เรียบร้อยยัง” ผมถามอย่างอารมณ์ดี
“เรียบร้อยครับพี่ ยึดรถเรียบร้อย คู่กรณีทั้งสองฝ่ายลงชื่อพร้อมพยานด้วยครับ ถึงเค้าจะงงๆนิดๆแต่ก็ยอมเซ็นต์ครับ” รุ่นน้องตอบอย่างเชื่อมั่นในตัวผม แต่ผมสิ เหงื่อแตกเลย คิดในใจ ตายล่ะหวาแล้วถ้ารถเค้าโดนงัดที่โรงพักมีหวังได้คดีอาญาเพิ่มอีกแน่ งานนี้ไม่ต้องมาเฝ้ารถกันเลยเหรอเนี่ย ว่าแล้วก็บอกรุ่นน้องอย่างใจดีสู้เสือ
“เฮ้อ!! พาพี่ไปดูรถหน่อย” ผมบอกน้องด้วยอารมณ์เซ็งโกะ แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็ขึ้นในชีวิตผม เมื่อรุ่นน้องผม ใช้มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงซ้ายขวาแล้วแบมือให้ผมดู
“เฮ้ยยยยย!!!!! นี่มันรถเด็กเล่นนี่หว่า เอ็งยึดรถที่พนักงานเคลมสาธิตการขับขี่ เร๊อะ บ้า!! ป่าว!!!!” ผมตกใจสุดชีวิตพร้อมเอามือกุมขมับ หูอื้อตาลายไปหมดแทบยืนไม่อยู่

คดีนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไว้ใจมือใหม่ เด็ดขาดดด อาจเกิดเหตุการณ์เหนือกว่านึก ลึกกว่าที่คิดได้

ปล. หลังจากผมหายหน้ามึดตาลาย ไอ้เจ้ารุ่นน้องตัวแสบมาสารภาพกับผมว่า คู่กรณีตกลงกันได้แล้ว คันหลังยอมรับว่าชนท้าย เพราะกลัวเสียเวลา แต่ไอ้เจ้ารุ่นน้องมันนึกสนุกแผลงๆ เลยขอยืมรถพนักงานเคลมมาแกล้งอำผมเล่น เลยโดนเขกกบาลไปที ล้อกันเล่นอย่างงี้ ถึงขี้แตกนะน้องงงง...จะบอกให้

ถุงเท้าซานต้า (มันมาอีกแร้ว)

“ขอโทษค่ะ มาแจ้งความโดนหลอกค่ะ” เสียงสาวใหญ่วัยกลางคนร้องแจ้งถึงวัตถุประสงค์ที่มาโรงพักอย่างร้อนใจ ขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินเสกสรรปั้นแต่งถ้อยคำที่จะลงประจำวันรับคดีที่คิดว่าเคลียร์ไม่จบแน่ ทำให้อดใจไม่ได้ต้องเงยหน้ามองตามเสียง เพียงได้พบหน้า ประเมินจากลักษณะโหงวเฮ้งแล้ว เธอมีหน้าตาเป็นอาวุธ ดูแล้วไม่น่าจะเป็นคดีเกี่ยวกับชู้สาว แล้วโดนหลอกเรื่องอะไรหว่า ผมฟันธงในใจต้องเป็นเรื่อง ทรัพย์แน่ ยังไงวันนี้ก็ขว้างงูไม่พ้นคอเพราะรับสองเด้งทั้งอาญาและจราจร เนื่องจากคู่เวรป่วย
“เชิญทางนี้ครับ” ผมตอบอย่างเสียมิได้ “โดนหลอกอะไรครับ”
เธอยังไม่ตอบทันทีทันใด กลับยื่นถุงเท้าสีเทาน่าจะถักทอด้วยเส้นป่านสีขาวอมเทา พระเจ้า มันมาอีกแล้ว ผมเคยเห็นถุงเท้าแบบนี้นี่นา ถ้าจำไม่ผิด ซานตาครอสเอาของขวัญมาใส่ให้นี่
แต่เดี๋ยว ไม่ใช่ ผมรับเจ้าถุงเท้าดังกล่าวจากหญิงสาวผู้นั้น กลับรู้สึกว่าภายในมีวัตถุบางอย่างลักษณะเป็นเส้น คล้ายสร้อยคอ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมจึงเทมันออกมา
อย่างที่คิดครับ มันคือสร้อยคอทองคำ แล้วเหตุไฉน ทำไมไม่สวมคอ ทะลึ่งเอามาใส่ถุงเท้าซะได้ อาการคิ้วขมวดผูกกันของผมคงทำให้เธอสังเกตได้ จึงได้เฉลยให้ผมฟังก่อนจะบรรยายความเซ่อที่โดนหลอกว่า “ทองปลอมค่ะหมวด” แสดงว่าหน้าตาเราต้องออกจะเซ่อกว่า
“ก็ทองปลอมน่ะสิครับ ผมก็มองออก ของจริงใครจะเอาไว้ในถุงเท้า รุ่นนี้เค้าเรียกว่า สร้อยคอทองคำไม่ลอกไม่ดำแต่จำนำไม่ได้ครับ”
ไม่มีเสียงพูดตอบ แต่กลับมีเสียงคล้ายหัวเราะปนร้องไห้ “ฮิฮิ ฮือฮือ” “หนูอยู่ของหนูดีๆ ไม่น่าโลภเลย ไม่ง้านก็ไม่โดนหลอกหรอก” ว่าแล้วเธอก็พล่าม เอ๊ย เล่าเหตุการณ์ให้ฟังตั้งแต่เริ่มต้น
เธอมายืนรอรถเมล์อยู่ที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งและแห่งเดียวในท้องที่ที่ขึ้นชื่อมากที่สุด ระหว่างนั้นได้มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอบรรยายลักษณะรูปร่างหน้าตาเข้าข่ายสตรีโทษ 10 ดังที่จอมกวีได้เคยกล่าวไว้ คือ อ้วน เตี้ย ล่ำ ดำ สิว ผิวด่าง คางทู่ หน้าก้อ คอสั้น ที่เหลือเดาเอาเองนะครับ จริงๆผมก็นึกในใจว่า ที่บรรยายตำหนิรูปพรรณมาน่ะ มันช่างคล้ายเธอที่มาแจ้งความเหลือเกิน แต่เอาเถอะ เธอมาในฐานะผู้เสียหาย ผมนึกในใจนะ แล้วหญิงคนนั้น ก็ชี้ให้เธอดูว่า มีสร้อยทองตกอยู่ตรงริมฟุตบาท น้ำหนักก็น่าจะประมาณซักสามบาทได้ ตะขอมันคงถ่างแล้วสร้อยมันเลยหลุดโดยที่เจ้าของเค้าไม่รู้ตัวนะเนี่ย แหม่! วิเคราะห์ให้เสร็จ ว่าแล้วหญิงดังกล่าวก็หยิบสร้อยขึ้นมาปรึกษากับเธอผู้เสียหาย “เอางัยดี หนักตั้งสามบาท” ผมเลยต้องถามแทรกว่า “รู้ได้งัยว่าหนักสามบาท พกตาชั่งมาด้วยรึงัย”
“ป่าวค่ะ ผู้หญิงคนน้านเค้าโยนเหยาะๆประมาณน้ำหนักเอา” ผมจึงได้ถึงบางอ้อ ประมาณน้ำหนักเอง โดยที่ผู้เสียหายไม่ได้จับทอง เลยไม่รู้ว่าน้ำหนักเท่าไหร่แน่
แล้วหญิงดังกล่าวก็บอกว่า “เราเห็นด้วยกัน ก็น่าจะมีส่วนได้คนละครึ่งนะ เอางี้มั๊ย เชื่อใจพี่มั๊ย เด๊วพี่เอาไปขายให้ แล้วเอาเงินมาแบ่งกัน”
ตรงนี้เองครับที่เป็นจุดเปลี่ยนจากไม่อยากยุ่งเป็นอยากได้ ความโลภนั่นเอง ผมคิดในใจ คิดเล่นๆทองสามบาท บาทละแปดพัน(ราคาทองตอนน้านนะ อย่ามาขอซื้อราคานี้กับผมตอนนี้นะ) สามบาทก็สองหมื่นสี่ แบ่งกันสองคนก็คนละหมื่นสอง พระเจ้า อยู่ดีๆได้เงินหมื่นสอง ใครจะไม่สน เท่านั้นยังไม่พอ หญิงดังกล่าวก็บอกว่า เพื่อความสบายใจระหว่างที่เค้าเอาทองไปขาย ตัวเค้ามีสร้อยคอบาทนึง ส่วนของผู้เสียหายก็มีบาทนึง ก็ถอดเอามาใส่ไว้ในถุงเท้าซานตาครอสนี่แหระ คนละบาท แล้วให้ผู้เสียถือไว้เพื่อความสบายใจ ส่วนหญิงคนน้านจะเอาทองไปขายในห้างประมาณสิบนาทีแล้วจะเอาเงินมาแบ่งกัน
น่าแปลก พอความโลภเข้าตา สติสตางค์ก็หายหมด เป็นอันว่าตกลงยอมตามที่หญิงคนน้านเสนอแบบไม่มีอิดออด ทั้งๆที่ไม่ได้มีการป้ายยาให้หลงเคลิ้มอย่างที่เคยมาแจ้งความ เธอรออยู่จากสิบนาทีเป็นหนึ่งชั่วโมง จนเป็นสามสี่ชั่วโมง ความโลภเริ่มจางหาย สติสตางค์เริ่มกลับมา จึงได้เทสร้อยคอที่ถอดรวมกันไว้ในถุงเท้ามาดู น้ำตาเธอเริ่มไหล สร้อยคอทองคำหนึ่งบาท ยังผ่อนไม่หมดอีกต่างหาก มาโดนมือดีหลอกเอาไปซะแล้ว อนิจจาเพื่อเป็นข้อมูลในทางสืบสวน ผมพาเธอไปห้องแล็บ เอ๊ย ห้องสายสืบ เพื่อให้ดูแฟ้มประวัติผู้ต้องสงสัย หลังจากน้านประมาณสิบห้านาที เธอกลับมาพร้อมเจ้าหน้าที่สายสืบ(ดูยังงัยก็ไม่ค่อยเหมือนตำรวจ ถ้านึกหน้าไม่ออก ให้ดูหน้าสมาชิกโปงลางสะออนที่ชื่อ เควิน น่ะ เหมือนมาก )
“ชุดเดิมเลยหมวด แสดงว่ามันกลับมาอีกแร้ว” เสียงเจ้าหน้าที่สายสืบบอกผมมาแต่ไกล ผมได้แต่ถอนหายใจ “เฮ้อ” ว่าแล้วก็หยิบพิมพ์ดีดมาบรรเลงคำให้การเธอ แล้วก็เก็บของกลางถุงเท้าซานตาครอสใส่ลิ้นชักแล้วนับในใจ “ขาดอีกข้างเดียวครบโหล ไม่รู้จะมีคนโง่เอาถุงเท้ามาให้อีกมั๊ยเนี่ย”

คดีนี้สอนให้รู้ว่า ความไม่โลภ คือลาภอันประเสริฐ นะคร๊าบบบบ ผม

เรื่องสุนัขสุนัข

มิตรรักพนักงานสอบสวนทั้งหลายเคยประสบปัญหาอย่างผมบ้างมั๊ยครับ วันไหนที่จั่วหัว
ด้วยคดีอะไร มันก็มักจะตามด้วยคดีทำนองน้านทั้งผลัดเลย จริงๆผมก็ไม่ได้เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ หรือดวงหรอกครับ แต่มันข้อสังเกตที่เกิดขึ้นบ่อยมากๆ เช่น ถ้าวันไหนมีคนบ้ามาแจ้งความตั้งแต่คดีแรก วันน้านทั้งวันจะมีแต่คนบ้ามาโรงพัก และเวรผลัดนี้ก็เช่นกัน เวรผลัดเช้าเข้าตั้งแต่หกโมงเช้า ขณะกำลังลงประจำวันเข้าเวรอยู่
“หมวดครับ หมวดครับ ผมถูกทำร้าย ครับ” ชายวัยกลางคน เปิดประตูห้องรับแจ้งความอย่างรีบร้อน เดินขากระเผกตรงรี่เข้ามาหาผม
“นั่งก่อน นั่งก่อน ไหวมั๊ยเนี่ย ไปหาหมอก่อนมั๊ย” ผมถามด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าอาการบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องการให้ไปจับคู่กรณีผมให้ได้ก่อนครับ ค่อยไปหาหมอ” ชายคน
ดังกล่าวยังคงอาฆาตผู้ทำร้ายต้องการให้ตำรวจจับมาดำเนินคดีให้ได้ ผมคะยั้นคะยอให้ไปพบแพทย์ก่อนก็ไม่ยอม ยังยืนยันเจตนารมณ์เดิม ผมจึงได้แจ้งพนักงานวิทยุให้สายตรวจในเขตพื้นที่เกิดเหตุใกล้เคียงนำตัวคู่กรณีมาโรงพัก โดยให้ชายเจ้าทุกข์คนดังกล่าวบอกตำแหน่งสถานที่เกิดเหตุพร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับคู่กรณีให้พนักงานวิทยุ
สิบห้านาทีต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจท้องที่ก็วิทยุมารายงานว่า ไม่สามารถนำตัว
คู่กรณีมาได้ เพราะเกรงว่าคู่กรณีอาจทำร้ายเจ้าหน้าที่สายตรวจ ขอให้ร้อยเวรนำรถยนต์พนักงานสอบสวนมารับไปเอง ผมก็เลยแจ้งทางวิทยุไปว่า ผมรับเรื่องแล้วถ้าคู่กรณีขัดขืนก็ขอกำลังเสริมเข้าจับกุมเลย เสียงวิทยุแว่วๆมา พอจับใจความว่า
“อย่าเลยว่ะ เด๊วมันกัด ให้หมวดแกมาคุยกับเจ้าของเองดีกว่า” ผมเลยถามเจ้าทุกข์ว่า คู่กรณีเป็นบ้าสติไม่ดีเหรอทำไมถึงจะกัดตำรวจ ชายดังกล่าวตอบด้วยสีหน้าอาฆาตว่า
“หมวดครับ มันไม่ได้ เป็นบ้า มันเป็นหมา ค๊าบ” โห จี๊ดเลย จี๊ดแต่เช้า จั่วหัวมาคดีแรก สุดท้ายก็ต้องมาทำความเข้าใจว่าคู่กรณีที่แท้จริงคือ เจ้าของหมา ไม่ใช่หมา ไปหาหมอแล้วสามารถเรียกค่ารักษาจากเจ้าของหมาได้ เหตุการณ์ก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่การณ์หาเป็นดังที่ผมคิดไม่ เพราะคำตอบที่ได้รับคือ
“ค่ารักษาผมไม่แคร์ ผมมีเงิน แต่ที่ผมต้องการคือ ให้ตำรวจดำเนินคดีกับหมาให้ถึงที่สุด” เฮ้อ!! ตำรวจนะคร๊าบ ไม่ใช่เทศบาล ผมนึกในใจ แต่ก็ตบท้ายไปด้วยยาขนานเอกด้วยการลงบันทึกประจำวันเรียกเจ้าของหมามาเสียค่าปรับ ข้อหา ปล่อยสัตว์ดุร้ายฯ แล้วจ่ายค่ายาให้คนเจ็บ
ขณะกำลังลงบันทึกประจำวันปรับเจ้าของหมา ก็ได้รับแจ้งเหตุ ว.40 (เหตุรถชน) ชนแล้ว
หลบหนี ผู้บาดเจ็บเป็นผู้ขับขี่รถ จยย. ยังอยู่ในที่เกิดเหตุรอร้อยเวร (อีกแระ บาดเจ็บทำไมไม่หาหมอกันก่อนเนี่ย) ผลัดนี้เข้าเวรเดี่ยวครับ เพราะร้อยเวรรุ่นน้องอีกคนป่วย เป็นไส้อั่ว เอ๊ย ไส้ติ่ง เพื่อเป็นการบรรเทาอาการจี๊ด ผมเลยขอตัวเจ้าทุกข์คู่กรณีกับหมา เพื่อไปดูเหตุรถชนก่อน ระหว่างทางก็นึกพลางๆไปว่าตำรวจเรานี่เป็นที่พึ่งประชาชนเหมือนเป็นฮีโร่ไปซะทุกเรื่อง ขนาดโดนหมากัดยังจะให้ไปจับหมา ขณะกำลังคิดเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงเรียกผู้ช่วยร้อยเวร “หมวดๆ ถึงแล้วครับ ที่เกิดเหตุ” ผมลงจากรถลงไปดูเห็นจักรยานยนต์ล้มอยู่ คนเจ็บนั่งชันเข่าอยู่ตรงฟุตบาทอันแสนจะแคบ มีหมวกกันน็อคคู่ใจวางข้างๆ บริเวณหน้าแข้งก็แดงไปด้วยคราบเลือด ผมตรงเข้าไปถามอาการและสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เรื่องเจ็บน่ะพอทนไหวครับหมวด ว่าแต่คู่กรณีนี่สิครับ ผมอยากให้หมวดเอาตัวมาให้ได้ก่อนครับ จะได้มีคนจ่ายค่ายาให้ผม” คนเจ็บรีบแจ้งความประสงค์ให้ผมทราบ
“แล้วคุณขับมายังงัยครับถึงเกิดเหตุได้” ผมถามด้วยความสงสัยเพราะดูหลักฐานตามท้องถนนแล้ว แทบจะไม่มีร่องรอยคู่กรณี
“ผมก็ขับจากบ้านที่อยู่ท้ายซอยนี่ล่ะครับมุ่งหน้าจะไปปากซอย พอมาถึงตรงนี้ คู่กรณีอยู่ๆก็วิ่งออกมาจากริมทางด้านขวา วิ่งมาชนที่ล้อหน้าผม ทำให้เสียหลักล้ม แล้วก็หนีเข้าไปที่บ้านหลังนี้น่ะครับ” คนเจ็บเล่าพฤติการณ์แห่งคดีอย่างละเอียด
“แล้วเค้าขับมาเร็วมั๊ย ทำไมคุณถึงมองไม่เห็น” ผมถาม พลางชะโงกหน้ามองหาช่องที่จะสามารถมองเห็นข้างในบ้าน ซึ่งเป็นบ้านทาวเฮ้าส์ ก็ไม่พบว่ามีรถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ยิ่งสร้างความงุนงง
“มันวิ่งไล่กันมาสองตัวครับ พอไอ้ตัวใหญ่มันชนรถผมล้ม มันก็วิ่งหนีเข้าบ้าน ส่วนอีกตัวก็วิ่งหนีออกไปทางปากซอยครับ” คนเจ็บพูดแทรกขึ้นมาทำให้ผมเริ่มหายงง ยังไม่ทันได้คำตอบก็มีเสียงร้องเรียกดังออกมาจากรั้วบ้านที่ผู้ชนแล้วหนีหลบเข้าไปซ่อน ว่า
“หมาอีชั้นเองค่ะคุณตำรวจ เดี๋ยวจะจ่ายค่ายาให้นะคะ อย่าให้ถึงโรงถึงศาลกันเลย อีชั้นแก่แล้ว เอามันมาเลี้ยงเป็นเพื่อนแก้เหงาน่ะค่ะ” เสียงเจ้าของบ้านนั่นเอง อ้อ พ่วงตำแหน่งเจ้าของหมาด้วยอีกตำแหน่งนึง อะไรกันนี่ผลัดนี้มีแต่เรื่องหมาๆ ผมได้ยินเสียงผู้ช่วยร้อยเวรหัวเราะคิกคิกอยู่ด้านหลัง ก็เลยตอบท่านเจ้าของบ้านไป
“ไม่ต้องกังวลครับ ไม่ถึงโรงถึงศาลหรอกค๊าบ ถึงผมก็ปวดกบาลพอแล้วค๊าบ คุณป้าช่วยพาคนเจ็บไปหาหมอก็พอแล้วค๊าบ ถ้าคนเจ็บไม่สบายใจก็ไปลงประจำวันเป็นหลักฐานที่โรงพักด้วยก็ได้ค๊าบ” ว่าแล้วผมก็ลาเจ้าของบ้านควบตำแหน่งเจ้าของหมา คู่กรณีชนแล้วหนี ขอตัวกลับโรงพักไปเคลียร์เรื่องคนถูกหมาทำร้าย ค๊าบ
“เฮ้อ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ผลัดนี้มีแต่เรื่องหมาๆ....” กลับโรงพักดีก่า.....

หนูยังไม่ได้จ่ายค่าโดยสาร

“เข้าเวรบ่ายไม่ใช่เหรอ ทำไมมาแต่เช้าล่ะ ท่าน” เสียงทักจากร้อยเวรรุ่นพี่(จริงๆน่าจะเรียกว่ารุ่นพ่อมากกว่า ก็อายุคราวพ่อแล้วล่ะ แกลุ้นขึ้นสารวัตรหลายเที่ยว ขึ้นไม่ได้ซักที แต่แกก็มองโลกในแง่ดีนะ บอกว่าที่ไม่ยอมขึ้นสารวัตรเพราะกลัวลูกจำไม่ได้ อิอิอิ)
“วันนี้มีครบฝากขังครับพี่ เมื่อวานลืมพิมพ์ เลยรีบมาพิมพ์ก่อนครับ” ผมตอบทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก ว่า ที่รีบมาก็เพราะพี่ชอบไหลคดีมาให้ผมน่ะดิ ถึงได้รีบมาดูก่อน 555 จริงๆก็ไม่ได้เขี้ยวอะไรขนาดน้านหรอกครับ เพียงแต่ว่า ช่วงหัวค่ำมีนัดสังสรรค์แก้มือกับเพื่อนโรงเรียนเก่ากันที่เมเจอร์โบว์รัชโยธิน เลยไม่มีอารมณ์มาช่วยรับคดีคนอื่น เพราะการที่เราแกล้งโง่รับคดีที่ร้อยเวรท่านอื่นไหลมาแบบทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจนั้น มันก็มีทั้งรับโชคและรับเรื่อง ไอ้ที่รับเรื่องไม่ต้องพูดถึงเซ็งในอารมณ์มาก แต่มีที่รับโชคก็มีเหมือนกัน เรื่องก็มีอยู่ว่า ร้อยเวรจะเปลี่ยนผลัดกลางวันกันก็ตอนเที่ยงตรงเป๊ะ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานก็ใช้นาฬิกาของห้องรับแจ้งความเป็นหลัก ส่วนการปรับแต่งเข็มสั้นเข็มยาวนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวิทยายุทธของแต่ละท่านจะใช้ พอดีวันนั้นผมต้องเข้าเวรบ่าย ซึ่งจะต้องรับเวรกันก็ตอนเที่ยงตรง โชคดีที่มาแต่เช้าก็เลยได้พบกับสาวน้อยนางหนึ่งใส่ชุดนักศึกษามหาลัย ก็คาดว่าจะเรียนอยู่สถานศึกษาใกล้โรงพักเรานั่นแหระ ด้วยความที่ว่า ยังไม่ได้ถึงเวรเรา ก็เลยไม่ได้เข้าไปสอบถามถึงธุระที่มาติดต่อ แต่ดูอาการเธอตื่นๆกลัวๆเล็กน้อย จะเปิดประตูเข้ามาห้องรับแจ้งความก็ไม่กล้า ผมเหลือบมองนาฬิกาแล้ว ประมาณ 11.59 น. เข็มวินาทีก็เดินยังก๊ะจะวิ่งเข้าเส้นชัย ช่วงระหว่างที่น้องเค้ากล้าๆกลัวกำลังจะผลักประตูเข้ามา มือถือเจ้ากรรมของเธอก็ทะลึ่งดังขึ้นมา ทำให้เธอต้องถอยกลับไปรับโทรศัพท์ก่อน โดยหารู้ไม่ว่า มีร้อยเวรสองคนกำลังลุ้นกันอยู่ในอารมณ์คนละทิศทาง เวรผลัดออกลุ้นไม่ให้เธอเข้ามา ส่วนผลัดเข้าคือผมเอง ก็ลุ้นให้เธอเปิดเข้ามาก่อนเที่ยง และแล้ว เมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือเธอดังขึ้น ก็มีเสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยันปันสะใจจากร้อยเวรผลัดออกดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทผม พาลคิดในใจว่าทำไมไม่ถามน้องเค้าก่อนแล้วพาเข้ามาแจ้งเลยจะได้เป็นของเวรผลัดก่อน เฮ้อ! คิดได้ก็สายไปซะแล้ว ว่าแล้วก็หยิบเสื้อพร้อมสายแดงมาใส่ มารอรับแจ้งความจากสาวน้อยนางนี้
เสียงประตูเปิดดังอีกครั้ง ขณะที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนประจำวันเข้าเวรอยู่ พลันต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงหวานๆ “มาแจ้งความค่ะ” น้องคนนั้นเอง
ผมเก็บอาการ ตอบไปอย่างสุภาพว่า “ เชิญทางนี้ ครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ” สังเกตอาการเธอยังไม่หายตกใจดีจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พูดจาวกวนจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก ผมจึงได้พูดปลอบเธอ
“น้อง ใจเย็นๆ ค่อยๆเล่า ตอนนี้อยู่ที่โรงพักแล้ว ไม่มีใครทำอะไรได้ เกิดอะไรขึ้น เล่าให้พี่ฟัง”
“หนูไม่ได้ตื่นเต้นเรื่องที่เจอค่ะ หนูกลัวตำรจ ไม่เคยขึ้นโรงพัก” เธอตอบ
“อ้าว !!! แล้วกัน ” ผมเผลออุทาน “ง้านค่อยลำดับเหตุการณ์เลยครับ ไม่ต้องกลัว ตำรวจไม่กัดครับ” ผมพูดหยอกเธอแสดงความเป็นกันเองเพื่อบรรเทาอาการตื่นเต้น เธอหัวเราะเล็กน้อย คลายความกังวลไปบ้าง จึงเริ่มลำดับเหตุการณ์ ฟังได้ความว่า บ้านเธออยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยฯปกติเธอจะขับรถมาเรียนแถวบางเขน ปรากฎว่ารถเธอยางแบน ก็เลยต้องเรียกแท็กซี่เพราะกลัวไปเรียนไม่ทัน ด้วยความที่เธอไม่เคยใช้บริการรถแท็กซี่ ก็เลยเข้าใจว่ารถแท็กซี่น่าจะล็อคประตูอัตโนมัติเมื่อความเร็วรถถึงระดับที่กำหนด เธอจึงนั่งอ่านหนังสือไปหลังจากที่แจ้งจุดหมายให้คนขับแท็กซี่ทราบแล้ว ระหว่างทางคนขับก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ โดยมารยาทเธอก็เลยฟังอย่างเดียว แต่พอคนขับพูดนานๆเข้า เธอก็เลยขอให้คนขับเปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยเพื่อช่วยบรรเทาประสาทหูได้บ้าง(จริงๆต้องการให้คนขับเลิกพูด) แต่คนขับก็หารู้ตัวไม่ กลับเพิ่มความดังเสียงพูดด้วยเกรงว่าผู้ฟังจะไม่ได้ยินเรื่องราวที่ระบายความอัดอั้นของการขับรถบนท้องถนนให้ฟัง ด้วยความเอือมระอา เธอจึงหันหน้ามองออกไปทางหน้าต่างข้างซ้ายโดยไม่ได้สนใจเรื่องราวที่คนขับเล่า ครั้นรถแท็กซี่มาจอดติดไฟแดงอยู่ที่แยกรัชโยธิน เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ผมนั่งฟังอย่างตั้งใจโดย ไม่ได้ถามแทรก อยู่ๆเธอก็หยุดนิดนึงแล้วก็บอกว่า “คนบ้าค่ะพี่” ผมก็สะดุ้งเล็กน้อย “คนบ้าที่ไหนวะ จะมาอยู่กลางเมืองขนาดนี้ ไม่เห็นมี ถ้ามีเทศบาลคงจับไปแล้ว” ผมนึกในใจ พลันเสียงหัวเราะเธอก็ดังขึ้นพร้อมละล่ำละลักกระอักกระอ่วนแสดงถึงความพยายามที่จะเล่าต่อ ผมก็ฟังอย่างตั้งใจพอจะจับใจความได้ว่า ขณะที่เธอมองไปนอกหน้าต่าง เธอเห็นคนบ้า เสื้อผ้าหลุดรุ่ยเดินมาจากฝั่ง SCB ปาร์ค ตรงมาที่เธอแล้วก็เปิดประตูด้านหลังข้างซ้ายที่เธอนั่งอยู่ ซึ่งทีแรกเธอเข้าใจว่ามันล็อค ปรากฎว่ามันเปิดออกได้เธอตกใจเรียกคนขับได้คำเดียว “พี่” แต่เจ้ากรรมโชว์เฟอร์ช่างจ้อหาได้ยินไม่ จ้อต่อโดยไม่ได้สนใจว่าเกิดเหตุการณ์อะไรกับผู้โดยสาร เธอรวบรวมสติก่อนที่ประตูจะเปิดได้กว้างกว่านี้ เธอหยิบกระเป๋าถือ แล้วขยับตัวไปทางขวาเปิดประตูด้านขวาแล้วลงจากรถทันที ทันใดนั้นเอง คุณพระช่วย สัญญาณไฟเขียวก็ปรากฎขึ้นที่กลางแยก รถแท็กซี่คันที่เธอนั่งมาก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็วโดยหารู้ไม่ว่าผู้โดยสารได้เปลี่ยนตัวไปแล้ว
เธอยืนงงกับเหตุการณ์ที่ขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่พักใหญ่ที่บริเวณเกาะกลางถนน พอได้สติกลับมาเธอเห็นป้ายโรงพักพอดี ก็เลยตัดสินใจเข้าแจ้งความด้วยวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความบริสุทธิใจที่ลงจากรถโดยไม่ได้จ่ายค่าโดยสาร แต่นั่นเป็นเพียงวัตถุประสงค์รองที่เธอมาโรงพัก จริงๆแล้วเธอต้องการทราบแท็กซี่คันนั้นเป็นยังไงบ้าง เพราะด้วยความตกใจเธอจำไม่ได้แม้แต่สีรถแท็กซี่ ผมก็เลยบอกสุดความสามารถตำรวจจริงๆ นะน้อง
ส่วนที่ว่ารับโชคน่ะเหรอ กลัวน้องเค้ายังไม่หายตกใจกับการใช้บริการแท็กซี่ ตำรวจอย่างเราก็เลยต้องแสดงน้ำใจไปส่งน้องเค้าที่มหาลัย ผลก็คือ วันนั้นผมมีกองเชียร์ตอนไปโยนโบว์ลิ่งสิคร๊าบท่าน อิอิอิ

ใช้แทนกันได้

เวรผลัดหัวค่ำวันหนึ่ง อากาศดี ฟ้าฝนไม่มีลมโชยเย็นสบาย เป็นที่ปรารถนาของร้อยเวรจราจร
นั่นหมายถึงโอกาสที่รถจะชนกันต้องน้อยกว่าวันฝนตกแน่นอน คิดได้ดังนั้นก็กะว่าจะเคลียร์สำนวนที่
ค้างเก่าอยู่ซะหน่อย ใกล้ถึงกำหนดเบิกค่าสำนวนแล้ว ขณะกำลังค้นหาสำนวนที่หมกไว้นานที่สุด ก็มี
เสียงเอะอะโวยวายดังมาไกลๆ นึกในใจว่า โชคดีนะที่เข้าเวรจราจร สงสัยมีคดีคนเมาเข้ามาแน่เลย อิอิอิ
ว่าแล้วเสียงเปิดประตูห้องรับแจ้งความดังขึ้นแบบคนเปิดไม่ค่อยพอใจ เท่าไหร่ ตามด้วยเสียงถามหาแบบขุ่นๆ
“ป๋า ร้อยเวรจราจรอยู่มั๊ย ?” ไม่มีเสียงตอบ แต่พอนึกออกว่าผู้ถูกถามจะต้องก้มหน้าเขียนอะไรอยู่ก็ไม่รู้
แล้วชี้นิ้วโป้งผ่านข้างหูบอกทิศทางที่ผมอยู่ในห้องพนักงานสอบสวนแน่นอน
“อ้าว ไรวะ ทำไมหวยมาออกที่ตูได้วะเนี่ย” ผมนึกในใจพลางเดินออกมาจากห้องพนักงานสอบสวน
ซึ่งมักจะอยู่ติดกับห้องรับแจ้งความของทุกโรงพัก จะมีก็เพียงประตูไม้บานทึบและกระจกไว้กันผู้บังคับบัญชา
เอ๊ย คู่ความที่จะเปิดเข้ามา ด้วยความคาใจไม่ทันต้องรอให้คนถามมาเปิดประตู ผมชิงเปิดก่อนแล้วรีบแสดงตัว
“ว่างัยจ่า มีอะไรครับ”
“หมอนี่ขับรถบรรทุกผิดเวลาครับ ขอดูใบขับขี่ก็ไม่มี ผมออกใบสั่งให้ก็ไม่ยอมครับ” จ่าตอบด้วยอารมณ์
ฉุนเฉียว สังเกตสีหน้าแล้ว คงโต้เถียงกันมาตั้งแต่ ณ ที่เกิดเหตุแล้วล่ะเชื่อได้ว่าถ้าไม่ได้อยู่ในระหว่างปฏิบัติ
หน้าที่ต้องมีวางมวยกันแน่
“คุณขับรถเข้ามาในเวลาห้ามจริงรึป่าว” ผมถามเพื่อต้องการสอบสวนข้อเท็จจริง
“จริงครับหมวด” เสียงตอบจากคนขับฟังสำเนียงแล้ว ต้องเป็นภาคเดียวกับผมแน่
“อ้าว แล้วเถียงกันเรื่องอะไรเนี่ย?” ผมถามด้วยความงง เพราะคนจับก็จับตามหน้าที่ คนถูกจับก็ทำผิด
ตามหน้าที่ เอ๊ย เพราะฝ่าฝืนกฎหมาย ทุกอย่างมันก็น่าจะแฮปปี้เอนดิ้ง
“ก็ผมแจ้งขอหาไม่พกใบอนุญาตขับขี่ เค้าไม่ยอมรับครับ เถียงผมว่ามีใบอนุญาตขับขี่
ผมขอดูก็ให้มาแต่สำเนาใบขับขี่ แต่ขนาดเท่าใบขับขี่และเคลือบมาอย่างดีเลยครับ” จ่าตอบ
“ก็นี่ผมถ่าย(เอกสาร)มาจากตัวจริงเลยครับ ข้อความ รูป ลายเซ็นต์เหมือนในตัวจริงเป๊ะ
สามารถใช้แทนกันได้ แล้วจะแจ้งข้อหาผมไม่มีใบอนุญาตขับขี่ได้ยังงัย” คนขับอธิบาย
ผมเริ่มคล้อยกับคำตอบที่ได้รับ “เออ จริงแฮะ เหมือนเป๊ะเลย”
เพื่อให้เหตุการณ์ไม่บานปลายและสงบลงให้เร็วที่สุด ผมจึงให้คนขับรถอยู่กับป๋าที่ห้องรับแจ้งความ
ส่วนจ่าคนจับผมก็เรียกมาคุยในห้องพนักงานสอบสวน สอบถามได้ความว่า ขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ถนนพหลโยธิน
ได้มีรถบรรทุกสิบล้อขับเข้ามา ซึ่งเป็นเวลาห้าม จ่าก็เรียกและขอดูใบอนุญาตขับขี่ เจ้าคนขับก็เอาสำเนาที่เคลือบ
เหมือนตัวจริงให้ จ่าก็ได้แจ้งว่าเป็นสำเนาไม่สามารถนำมาใช้แทนตัวจริงได้ คนขับไม่ยอมบอกว่า เอกสารข้อความ
ทุกอย่างเหมือนกัน เลขที่ก็เลขที่เดียวกัน ไม่เชื่อก็ให้ไปเช็คที่กรมขนส่งฯได้เลย แล้วก็ยืนยันที่จะไม่ให้ตัวจริง โดย
ให้เหตุผลว่า เวลาตำรวจจับกว่าจะได้ตัวจริงคืนบางทีต้องเสียเวลาเยอะ เพราะตำรวจชอบอ้างว่า ใบขับขี่อยู่ที่คนจับ
เถ้าแก่ก็เลยแนะนำให้ถ่ายสำเนาแล้วให้สำเนาไปแทน
ผมก็เลยมาถึงบางอ้อว่า ทำไมจ่าถึงได้ฉุนขนาดนี้ เพราะจริงๆตำรวจเราก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำ
คนไทยเหมือนกัน ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็จะพออลุ้มอล่วยให้ แต่ถ้าเจอพวกหัวหมอประกอบกับชอบลองของ
นี่จะทำให้อารมณ์เสียมาก เพราะอยู่หน้างานดมควันมาทั้งวันก็เหนื่อยแย่แล้ว ยังมาเจอคนทำผิดกฎมาทำหัวหมอใส่
ยิ่งเหมือนเอาน้ำมันมาราดใส่กองไฟ
“เอางี้ จ่า ดูเฉยๆเดี๋ยวผมจัดการเจ้าหมอนี่เอง” ผมแนะนำ ทั้งๆที่ก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะจัดการยังไงดี
แต่ที่แน่ๆต้องเปรียบเทียบ ปรับข้อหาขับรถในเวลาห้ามก่อน ส่วนเรื่องใบขับขี่ค่อยว่ากัน
“ปรับ 500 บาท ครับ” ผมแจ้งข้อหาพร้อมเปรียบเทียบ เพราะผู้ต้องหารับสารภาพข้อหาขับรถในเวลาห้ามแล้ว
“นี่ครับแบงค์พัน ทอนห้าร้อยด้วยนะครับ แล้วขอใบเสร็จด้วยจะได้ไปเบิกเถ้าแก่” คนขับพูดพลาง
หันมองหน้าจ่าคนจับแล้วยิ้มให้พร้อมยักคิ้วสองที
ผมนึกในใจ ไม่แปลกใจเลยทำไมจ่าแกฉุนขนาดนี้ เพราะปกติผมก็คุ้นเคยกับแกดี เล่นฟุตบอล
ด้วยกันบ่อย ปกติแกเป็นคนใจเย็น ขณะอารมณ์ผมเริ่มก่อตัว ก็มีเสียงป๋ามาขัดจังหวัดพอดี
“หมวดผมไม่มีตังค์ทอน เอาตังค์หมวดทอนก่อน” แล้วความคิดแก้เผ็ดมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
มิอาจทราบได้ ผมควักแบงค์ห้าร้อยออกมาจากกระเป๋า แล้วพลางนึกขึ้นได้ จึงยื่นให้กับจ่าคนจับพร้อมกระซิบ
แผนเด็ดให้จ่าคนจับไปจัดการ ส่วนคนขับทำหน้างงๆยื่นมือมารับเก้อ แล้วมองหน้าผม ผมก็เลยส่งยิ้มให้แล้ว
บอกว่า
“รอแป๊บนึงนะ เด๊วทอนให้”
สิบนาทีต่อมา จ่าคนจับกลับมาที่ห้องรับแจ้งความ แล้วส่งแบงค์ห้าร้อยคืนให้ผม ท่ามกลางความงง
ของป๋าคนออกใบเสร็จ พร้อมกับยื่นเงินทอนค่าปรับให้กับเจ้าคนขับ ผมได้สังเกตเห็นลักษณะหน้าตาที่ดูจะ
เย้ยหยันพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นงงเป็นหมาอมฮอลล์ อุทานด้วยตกใจ
“เฮ้ย นี่มันแบงค์ห้าร้อยถ่ายเอกสารนี่หว่า” ตามด้วยคำถามติดๆ “แล้วแบงค์ห้าร้อยจริงอยู่ไหน”
จ่าคนจับอมยิ้มแล้วตอบพร้อมกับยักคิ้วให้เจ้าคนขับหัวหมอ
“อะไรกัน นี่มันใช้แทนกันได้ ข้อความเหมือนกันเป๊ะ ลายเซ็นต์ก็เหมือนเป๊ะ”
แล้วเจ้าคนขับก็ต้องยอมรับอีกหนึ่งข้อหา ดีกว่าได้สำเนาตังค์ทอน แหม! คิดได้งัย ออกเวรดีกว่า ผลัดหน้าเจอกัน